น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation: AC) ครั้งที่ 7 ในการเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 15 - 16 ธ.ค.67 ว่า การประชุมหารือประจำปีครั้งที่ 7 วันนี้ ทั้งสองประเทศได้ติดตามและผลักดันการดำเนินการตามที่ประเทศไทยและมาเลเซียได้เห็นพ้องร่วมกันเมื่อปีที่ผ่านมา
โดยดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันในความสำคัญของความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศที่ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว และด้านอาหารฮาลาล รวมทั้งความเชื่อมโยงด้านคมนาคม พลังงาน และความมั่นคงในภูมิภาค
โดยความร่วมมือ ระหว่างประเทศไทย-มาเลเซีย ถือเป็นโมเดลของความร่วมมือของประเทศเพื่อนบ้าน ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ เห็นได้จากมูลค่าการค้าระหว่างกันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนและนักศึกษาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าว ชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย อาทิ ภูเก็ต และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว "6 Countries, 1 Destination" ซึ่งจะส่งเสริมทั้งการท่องเที่ยวระหว่างไทย-มาเลเซีย และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ที่ยังเป็นการสนับสนุนความสัมพันธ์ของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ในปีนี้เพียง 11 เดือนปีนี้พบว่านักท่องเที่ยวมาเลเซีย เดินทางมาเที่ยวไทยเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้าน soft power ของทั้งสองประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยังกล่าวถึงความร่วมมือด้านพลังงานในระดับภูมิภาค รวมทั้งความร่วมมือด้านยางพารา ซึ่งปัจจุบันมาเลเซียได้นำเข้ายางพาราจากไทย และในวันนี้จะได้มีลงนามแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ ระหว่างสองประเทศ ในความร่วมมือด้านยางพาราอีกด้วย
สำหรับมิติด้านความมั่นคงนั้น นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่าสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นประเด็นภายในของประเทศไทย มั่นใจว่าไทยจะสามารถบรรลุความสำเร็จในการส่งเสริมสันติภาพและความรุ่งเรืองในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ทั้งนี้ เพื่อการขับเคลื่อนความร่วมมือในด้านต่าง ๆ จะมอบหมายให้มีการกำหนดกรอบ การดำเนินงาน ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นควรจัดการประชุมคณะทำงาน (Task force) ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร การค้าและการลงทุนรวมถึงการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และความมั่นคง เพื่อให้บรรลุผลที่เป็นรูปธรรม โดยมอบหมายเรื่องที่สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและเสนอมาตรการป้องกันอุทกภัยในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ของประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับฝ่ายมาเลเซีย
ส่วนสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงบทบาทของมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุย โดยประเทศไทย ให้ความสำคัญของการฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคง ต้องผ่านกระบวนการพูดคุยและการพัฒนา โดยหวังว่ากระบวนการพูดคุยจะเริ่มต้นใหม่ได้ในเร็ว ๆ นี้ ภายหลังการตั้งหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และเชื่อมั่นว่ามาเลเซียจะให้การสนับสนุนไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ OIC ด้วย
น.ส.ศศิกานต์ กล่าวว่า ทั้ง 2 ประเทศยินดีที่หน่วยงานมั่นคงจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมข้ามชาติที่เร่งด่วน เช่น การค้ามนุษย์และยาเสพติด การเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยปีหน้าประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ครั้งที่ 56 (56th General Border Committee (GBC) และคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคง ครั้งที่ 2 (2nd meeting of the joint working committee on security cooperation (JWC-SC))
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศยังเห็นพ้องร่วมกันในการบรรลุเป้าหมายการค้าที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2570 ซึ่งการค้าชายแดน มีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของการค้าทวิภาคี โดยเชื่อว่าการอำนวยความสะดวกและการเชื่อมโยงข้ามพรมแดนจะเป็นปัจจัยสำคัญ จึงเห็นควรเดินหน้าผลักดันหาข้อสรุปต่อบันทึกความเข้าใจ 2 ฉบับเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดนโดยเร็ว
ขณะที่น.ส.แพทองธาร ยินดีที่โครงสร้างพื้นฐานข้ามพรมแดนระหว่างกัน 2 โครงการ ได้แก่ ถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่ และสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก มีความคืบหน้าไปมากซึ่งจะเสร็จตามกำหนด โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายประเทศจะมีโครงการทางรางเพื่อเชื่อมโยงในภูมิภาคได้อย่างไร้รอยต่อ และสนับสนุนโครงการริเริ่มด้านโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค เช่น รถไฟขนส่งสินค้า ASEAN Express (ASEAN Express trains) อีกด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไทยพร้อมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องในปีหน้า (ปี 2568 ) ที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน ภายใต้หัวข้อ "Inclusivity and Sustainability" ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "มาเลเซีย มาดานี Malaysia Madani" ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ โดยเฉพาะด้านความยั่งยืนในทุกมิติ