ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับพิจารณาคำร้องที่ขอให้วินิจฉัยการกระทำของ รมว.ยุติธรรม, อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กรณีส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากกรณีดังกล่าวไม่เข้าตามหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนดไว้
โดยศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาด้วยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอ และยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คดีนี้นายคงเดชา ชัยรัตน์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสามเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ทำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธธธรรมนูญ มาตรา 27 เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างอำนาจอธิบไตยฝ่ายตุลาการ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
และเมื่อวันที่ 11 พ.ย.67 นายคงเดชาได้ยื่นคำร้องดังกล่าวต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร เลิกการกระทำที่เป็นการครอบงำหรือจูงใจใจให้ผู้ถูกร้องทั้งสามใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ ผู้ร้องจึงมายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสามเลิกการกระทำดังกล่าว