นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ได้ตอบกระทู้ถามกรณีข้อพิพาทอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนบริเวณอ่าวไทยระหว่างไทยกับกัมพูชาตามกรอบ MOU 2544 รวมถึงการนำพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ระหว่างที่การเจรจาข้อพิพาทยังไม่แล้วเสร็จ โดยพบว่าทั้งไทยและกัมพูชาได้ให้สัมปทานกับเอกชนไปแล้วว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งตามกรอบ MOU 2544 มีข้อกำหนดให้รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายต้องเจรจาร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลไทยมีกลไกของกรรมการร่วม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ตั้งกรรมการดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา
อย่างไรก็ดีในปลายเดือน ม.ค.นี้ กระทรวงการต่างประเทศและกรรมาธิการ (กมธ.) ของสภาที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันจัดเวทีสัมมนาเพื่อรับฟังความเห็นในประเด็นดังกล่าว
ก่อนหน้านั้นนายมาริษ ได้ตอบกระทู้ถามสดของนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคเป็นธรรม ถึงนโยบายและกรอบการทำงานของไทยต่อความไม่สงบในประเทศเมียนมาต่อการช่วยเหลือและสนับสนุนให้เมียนมาเกิดสันติภาพโดยเร็ว ตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับทุกกลุ่ม ทั้งจากฝ่ายปกครองหรือฝ่ายต่อต้าน รวมถึงไม่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรง ไม่ต้องการให้การสู้รบคงอยู่ในเมียนมาต่อไป อย่างไรก็ดีปัญหาของเมียนมานั้นจำเป็นต้องใช้การพูดคุยตามขั้นตอน
"สถานการณ์ของเมียนมามีขั้นตอนและความเปราะบางหลายจุด รวมถึงมีผู้เล่นที่เกี่ยวข้องมาก สถานการณ์ซับซ้อน เป้าหมายของไทยอยากให้เมียนมากลับมาสงบ มีเสถียรภาพประชาชนเมียนมามีความเป็นอยู่ที่ดี มีความก้าวหน้า โดยต้องดำเนินการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์กับคนทุกกลุ่มในเมียนมา" นายมาริษ กล่าว
รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า ความขัดแย้งในเมียนมาเป็นเรื่องภายในประเทศ โดยภายนอกไม่สามารถบีบบังคับให้เมียนมาเป็นไปตามที่ต้องการได้ ไทยตระหนักดีกว่าเมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีความปรารถนาหาแนวทางสนับสนุนให้ฝ่ายต่าง ๆ หันหน้าคุยกันตามกระบวนการของอาเซียน ให้เมียนมามีความปรองดอง และพัฒนาเศรฐกิจได้อีกครั้ง