นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย (พท.) อยู่ระหว่างลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ใน จ.ศรีสะเกษ โดยยืนยันว่า ในช่วงกลางปีนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น เพราะการสร้างเศรษฐกิจให้ดีเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาลนี้
"ปีนี้เป็นต้นไปประเทศไทยจะเปลี่ยนเยอะ และตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเปลี่ยนในทางที่ดีมากขึ้น จะมีการแก้ปัญหามากขึ้น จะทำให้พี่น้องคนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น" นายทักษิณ กล่าว
พร้อมระบุว่า รัฐบาลพยายามจะทำเรื่องเศรษฐกิจให้ดีที่สุด ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยทำไม่ได้ คนอื่นก็ไม่มีปัญญาทำ เพราะเราอยู่กับวิกฤติมาตลอด พอมีวิกฤติเราก็มาแก้
"ผมกลับมาจากต่างประเทศ ดูเรื่องอะไร จับอะไร มีปัญหาหมด เละหมด ดังนั้นต้องรื้อใหม่เยอะแยะเลย ยากหน่อย แต่ก็ทำได้เพื่อพี่น้อง" นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวถึงปัญหายาเสพติดว่า สิ้นปีนี้ต้องจบ ยาเสพติดต้องหมด โดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เพื่อนบ้านทั้งหลายที่ตั้งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งพม่า หรือเขมร ตอนนี้ร่วมมืออย่างดี และประเทศจีนก็เข้ามากดดันช่วยกัน
" เราจะกดดันทุกอย่าง สิ้นปีนี้ต้องไม่เหลือ ไม่ให้คนไทยโดนหลอกอีกแล้ว ในกระเป๋ามีสตางค์เยอะไหม เศรษฐกิจปีนี้จะกระเตื้อง แต่ปีหน้าจะดี แล้วปี 70 จะดีมาก ๆ"
นายทักษิณ ระบุว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้รายงานว่า พร้อมแล้วที่จะให้รัฐบาลให้ทุนแก่เด็กที่เรียนดีในทุกอำเภอไปเรียนต่างประเทศ อำเภอละหนึ่งทุน ตนจะช่วยให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือดี ๆ จะได้ดูแลพ่อแม่ได้ เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศไว้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นเมืองหลวงของโลกในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ดังนั้นเราต้องทำตามให้ทัน
นายทักษิณ กล่าวว่า วันก่อนได้พูดเรื่องราคาค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาท/หน่วย ซึ่งกระทรวงพลังงานบอกว่าเป็นไปได้ เมื่อค่าไฟฟ้าถูก ประเทศก็แข่งขันได้ ดังนั้นเราต้องลดค่าไฟให้ได้ ดังนั้นค่าไฟจะต้องถูกลง เพื่อให้ประเทศแข่งขันได้ และทำให้มีนักลงทุนเข้ามาในประเทศ
ต่อมาจะลดราคาก๊าซและน้ำมัน เรื่องน้ำมันได้เคยพูดแล้วว่าไม่ควรอ้างอิงราคาสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์ไม่สามารถผลิตน้ำมันได้เอง ดังนั้นเราจะอิงราคาใหม่ เพื่อให้ราคาถูกลงมา
"สรุปคือ พยายามจะลดค่าใช้จ่าย ลดการผูกขาดทุกอย่าง เพื่อให้ต้นทุนชีวิตของทุกคนถูกลง รวมทั้งสร้างโอกาสเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และพยายามหาโอกาสใหม่ให้มีรายได้ใหม่ ๆ ไม่ต้องไปได้จากการทำเกษตรอย่างเดียว" นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้กลุ้มใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทยกำไรดีทุกธนาคาร หนี้เสียน้อยมาก ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะภูมิใจ แต่เสียใจที่เศรษฐกิจแย่มาก เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยชอบดูดเงินออกจากระบบ เลยไม่มีเงินมาเลี้ยงเศรษฐกิจ ธนาคารพาณิชย์ก็ง่ายดี ถึงเวลาก็ออกไปซื้อบอนด์ เลยไม่มีเงินให้กู้
"วันนี้รถก็ขายไม่ออก บ้านก็ขายไม่ออก แบบนี้ผิดหมด ผมเลยต้องนำเงินกลับมาสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อพี่น้องมีตังค์ใช้ แก้ปัญหาหนี้สินให้พี่น้อง เพื่อให้พ้นหนี้พ้นสิน มีตังค์ใช้เร็วๆ...เที่ยวนี้ศรีสะเกษขอเพื่อไทยทั้งหมดเลยได้ไหม แล้วถ้าแก้ปัญหาศรีสะเกษไม่ได้ ชี้หน้าด่าผมเลย แต่ขอหมดเลยนะ อย่าขี้เหนียว อย่าไปแบ่งให้คนนั้นนิด คนนี้หน่อย เลือกนายก อบจ.ให้ผม และเลือกทีม สจ.ให้ แล้วผมจะมาช่วยกันแก้ปัญหาให้พี่น้อง รับรองว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะราบรื่น เพราะมันมีมือไม้" นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ ยังกล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่วิกฤติหนักในช่วงนี้ ว่า ต้องยอมรับว่าการเผาทางการเกษตรมีมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ยอมหยุดยั้ง ซึ่งมาตราการก็ยังไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร นับตั้งแต่ประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งในประเทศไทยเอง ส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองปริมาณมาก ดังนั้นวันนี้ควรต้องร่วมมือกัน ซึ่งรัฐบาลได้สั่งการให้ทุกเขตกวดขันเรื่องการเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นการเผาซังข้าว ข้าวโพด หรืออ้อย ถ้าคุยกันไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง ก็อาจจะต้องใช้กฎหมาย รวมถึงหยุดการช่วยเหลือจากภาครัฐ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เร่งจัดทำแอปพลิเคชันเพื่อให้คนแจ้งการเผาในทุกพื้นที่ เพื่อจะได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไประงับเหตุได้โดยด่วน
ส่วนการแก้ปัญหาในกรุงเทพฯ นายกฯ ได้มีมาตรการให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว โดยมาใช้บริการสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้า หรือรถเมล์ ซึ่งจะเปิดให้ใช้บริการฟรี 7 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขันรถควันดำอย่างเข้มข้นและเคร่งครัด ตลอดจนไซต์ก่อสร้างที่มีฝุ่น และไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ก็ต้องสั่งให้หยุดการก่อสร้างทันที ซึ่งนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ให้ความร่วมมือเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทยแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ช้าไปนั้น หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าปัญหามากกว่าที่เราคิด และความร่วมมือในการป้องกันยังไม่ดีพอ เพราะในต่างจังหวัดยังมีการเผา ส่วนกรุงเทพฯ เป็นปัญหาที่ต้องแก้เฉพาะหน้า