พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ประชุมวุฒิสภา เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.อำนาจเรียกฯ ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคำสั่งเรียกของ กมธ. เพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐสภา ตามหน้าที่และอำนาจของ กมธ.ให้มีกลไกและผลบังคับทางกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 129 ซึ่งเปลี่ยนแปลงหลักการจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แก่ อำนาจเรียกเอกสาร หรือบุคคล (มาตรา 6 และมาตรา 7) ให้ กมธ.มีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคล หรือเรียกบุคคลมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็น
- ถ้าบุคคลที่ กมธ.เรียกเป็นรัฐมนตรี ให้ประธาน กมธ.มีหนังสือแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย
- ถ้าบุคคลที่ กมธ.เรียกเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ประธาน กมธ.แจ้งให้นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ซึ่งบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลทราบด้วย
สำหรับเอกสิทธิ์ของผู้ให้ถ้อยคำ (มาตรา 11) ซึ่งเป็นมาตราที่มีความมุ่งหมายคุ้มครองแก่ผู้ที่ให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อ กมธ.โดยไม่ต้องรับผิด ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการที่ได้เปิดเผยข้อมูล หรือให้วัตถุ หรือพยานหลักฐานต่อ กมธ.
ส่วนมาตรการบังคับในการให้ข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา 14) หากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ส่งเอกสาร หรือไม่มาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือให้ข้อมูลเท็จหรือแจ้งความอันเป็นเท็จ จะถือว่าไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการ และเป็นความผิดทางวินัย