สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง "เกมการเมืองไทย ณ วันนี้" จากประชาชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,227 คน ระหว่างวันที่ 4-7 มี.ค.68 โดยลักษณะของเกมการเมือง อันดับ 1 การแบ่งเค้ก แบ่งตำแหน่งสำคัญทางการเมือง อันดับ 2 เอื้อประโยชน์ให้นายทุนที่สนับสนุนพรรคการเมือง และ อันดับ 3 โยกย้ายข้าราชการเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
เกมการเมืองที่เกิดขึ้นในรัฐบาล อันดับ 1 การโจมตีกันไปมา ปล่อยข่าวปลอม ดิสเครดิต อันดับ 2 นักการเมืองซื้อขายเสียงกันทั้งในสภาและนอกสภา และ อันดับ 3 การตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ต่อรอง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์
ขณะที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 80.77% เห็นว่าเกมการเมืองเป็นเรื่องปกติ เพราะมีมานาน เห็นมาทุกยุคสมัย พรรคการเมืองและนักการเมืองมุ่งหวังแต่อำนาจและผลประโยชน์ เปลี่ยนแปลงได้ยาก ฯลฯ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เหลืออีก 19.23% เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะทำให้ประชาชนและประเทศชาติต้องเสียผลประโยชน์ นักการเมืองขาดคุณธรรมจริยธรรม ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ฯลฯ
โดยผลของเกมการเมืองที่มีต่อการพัฒนาประเทศ อันดับ 1 เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ อันดับ 2 มีทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาล อันดับ 3 มีผลกระทบบ้าง บางเรื่องก็ช่วยตรวจสอบและผลักดันนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล อันดับ 4 ไม่มีผลกระทบ มีปัจจัยอื่น ๆ ส่งผลมากกว่า และ อันดับ 5 ไม่แน่ใจ/ไม่มีความเห็น
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 79.63% เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเกมการเมืองทำให้การเมืองไทยล้าหลังประเทศอื่น ๆ รองลงมา 12.06% ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว ส่วนที่เหลืออีก 8.31% ไม่แน่ใจ
ด้าน น.ส.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยคุ้นชินกับเกมการเมืองที่มีมานานและรับรู้ถึงโครงสร้างการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์และการแข่งขันเชิงอำนาจ แม้หวังพึ่งการเลือกตั้งให้การเมืองเปลี่ยน แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับเกมการเมืองเดิมในรูปแบบใหม่ หมุนวนซ้ำซากทำให้สังคมติดหล่ม กลายเป็นพลวัตทางสังคมแบบปกติใหม่ที่ไม่ควรจะปกติ การจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้นก็คงจะต้องลดเกมการเมืองเพิ่มการทำงาน เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน
ขณะที่นายเขมภัทท์ เย็นเปี่ยม หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ประชาชนมองว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่นักการเมืองเมื่อเข้ามาสู่อำนาจแล้วจะเข้ามาจัดสรรผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องมากกว่าการจัดสรรผลประโยชน์และกระจายผลประโยชน์ให้แก่ประชาชน โดยแท้จริงแล้วประชาชนอยากเห็นเกมการเมืองที่แต่ละพรรคแข่งขันกันในเชิงนโยบายและการแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากกว่าเกมการเมืองที่เข้ามาช่วงชิงอำนาจ โดยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดขั้วอำนาจทางการเมืองฝั่งตรงข้าม และพร้อมที่จะหักหลังจัดการฝ่ายเดียวกันเองเพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมืองของตัวเองไว้ การที่นักการเมืองมุ่งแต่จะแก้เกมทางการเมืองเพื่อต้องการกุมความได้เปรียบทางการเมืองจึงส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองที่ประชาชนรู้สึกว่าล้าหลังและไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น สิ่งที่ประชาชนคาดหวังและอยากเห็นคือเกมการเมืองที่แข่งกันแก้ปัญหาด้วยนโยบายมากกว่าการแก้เกมทางการเมือง