ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งมีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจ ของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) โดยที่ประชุมได้ลงมติ 304 เสียง เห็นด้วยกับการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภา ขณะที่อีก 150 เสียงไม่เห็นด้วย และงดออกเสียง 124 เสียง
โดยก่อนการลงมติ นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายปิดญัตติตอนหนึ่งว่า การยื่นญัตติดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลา 1 เดือน เพื่อรอความชัดเจน ซึ่งไม่ถึงขั้นเตะถ่วง แต่สะดุดเพื่อให้ได้สิ่งที่ดี ส่วนที่กล่าวหาว่ากลัวศาล ไม่กล้าหาญ สยบยอมกับอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจของประชาชนนั้น พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่มีนานใช้ความกล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว มาทีหลังก็โดนเหมือนกัน คำพระบอกว่า ความกล้าหาญควรเสมอด้วยปัญญา ปัญญาควรเสมอด้วยสติ
"คำว่าสติ ขอฝากการแก้รัฐธรรมนูญ สู้กับใคร คิดให้ดี ว่าควรตำหนิพวกเรา ศาล หรือฝ่ายไหนลองคิดให้ดี หากเลือกมิตร เลือกศัตรู คนร่วมทางถูก ติพองามไม่ทำร้ายกัน ท่านจะมีมิตรร่วมเดินทาง ไม่เช่นนั้นเป็นมวยหลงมุม ไก่หลงตีตัวเองแพ้หมด" นายสุทิน กล่าว
นายสุทิน อภิปรายว่า ปัญหาของการแก้รัฐธรรมนูญ คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ หากเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ใช้สติปัญญา คิดว่าจะมีคนยื่นตีความหรือไม่ หากมีคนยื่นตีความจะมีปัญหา หากมีปัญญาพอ แก้ปัญหาให้จบ เดินวันนี้ไม่สะดุดอีก
ดังนั้น เพื่อป้องกันคนจะเล่นงานหลาย ๆ ด่าน คือการใช้สติ และปัญญา ส่วนความกล้าหาญต้องต่อสู้ ทั้งนี้ประชาธิปไตยไม่ใช่รถด่วน การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่ต่อสู้และแพ้ บอกให้รู้ว่ากล้าหาญอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีกลยุทธ์
"ลมเปลี่ยนทิศ ต้องเปลี่ยนหัวเรือ เพื่อหลบลม ไม่ให้เรืออับปาง และไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่สู้ลมแบบนี้ ไม่ใช้สู้เพื่อประชาธิปไตย" นายสุทิน กล่าว