"สุริยะ" แจงปมรถไฟฟ้า 3 สนามบิน-ขยายสัมปทานทางด่วน ยันไม่มี Super Deal แสนล้าน

ข่าวการเมือง Tuesday March 25, 2025 14:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ชี้แจงรายละเอียดตามที่นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้กล่าวหา ทั้งกรณีแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ถูกมองว่าให้เอกชนคว้าสัมปทานไปก่อน แล้วค่อยหาประโยชน์เพิ่มด้วยการแก้ไขสัญญา รวมถึงกล่าวหาว่า รัฐหาเหตุขยายสัมปทานทางด่วน เพื่อหวังเอื้อประโยชน์ให้เอกชน

นายสุริยะ กล่าวว่า การอภิปรายทั้ง 2 โครงการ เป็นการกล่าวหาเพียงลอย ๆ ซึ่งตนเห็นด้วยกับที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้เมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) ว่า ไม่ทราบว่าผู้อภิปรายกำลังอภิปรายรัฐบาลไหน เพราะเหตุการณ์ทั้งหลาย เกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารด้วยซ้ำ และทั้ง 2 โครงการที่สมาชิกผู้อภิปรายได้อภิปราย ก็ยังเป็นโครงการที่อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ยังไม่ได้เสนอถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงยังไม่ถึงมือนายกรัฐมนตรี ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายตนในฐานะ รมว.คมนาคม มาตอบชี้แจง

ทั้งนี้ รัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้ดำเนินการแต่อย่างใด ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการพิจารณาร่วมกันอีกหลายหน่วยงาน รวมถึงสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันพิจารณา เพื่อให้รัฐไม่เสียประโยชน์อย่างแน่นอน และที่ผู้อภิปรายพูดหลายครั้งว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนคู่สัญญา หรือพยายามพูดให้เข้าใจว่า มีผู้ใหญ่ นายใหญ่ หรือนายน้อยสั่งการอยู่เบื้องหลังนั้น

นายสุริยะ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับคู่สัญญาของทั้ง 2 โครงการแต่อย่างใด แล้วจะไปมีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนได้อย่างไร แต่ในทางตรงกันข้าม ตนพยายามแก้ปัญหาที่ประชาชนและภาครัฐเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องการจราจรที่ติดขัด ค่าผ่านทางแพง และโครงการที่ลงทุนไว้แล้ว แต่ดำเนินการต่อไปไม่ได้ ให้สำเร็จลุล่วงโดยยึดประโยชน์ของประชาชนและภาครัฐเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นไม่มีแน่นอนที่ผู้อภิปรายมโนว่า เป็น Super Deal แสนล้าน

* แจงยิบข้อเท็จจริงใน 2 โครงการ

1. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ได้ทำสัญญากันมาตั้งแต่ในอดีต โดย ครม. ได้อนุมัติโครงการ เมื่อ 27 มี.ค. 61 และลงนามสัญญาร่วมลงทุน เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 62 แต่รัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารงานเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 67 ซึ่งตนไม่ใช่ส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหา แต่เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา โดยทันทีที่เข้ามารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม พบว่าโครงการนี้มีปัญหาด้านสัญญา ตนจึงเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อให้โครงการนี้ สามารถเดินต่อไปได้ เนื่องจาก

  • EEC มีการลงทุนจากภาคเอกชนไปแล้วกว่า 1.8 ล้านล้านบาท หากถอยโครงการนี้ ประเทศจะเสียหายมาก และเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนโควิด เมื่อมีสถานการณ์โควิด ทำให้มีผลกระทบต่อการลงทุนด้วย
  • สถานการณ์โควิด ถือเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาข้อ 28.1 (1) (ฉ) เอกชนไม่สามารถชำระค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ จำนวน 10,671 ล้านบาท ได้ตามกำหนด เพื่อไม่ให้บริการหยุดชะงัก ครม. จึงมีมติเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 64 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเอกชน เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน ซึ่ง รฟท.และเอกชนจึงได้ทำ MOU โดยเอกชนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินรถ และบำรุงรักษาและรับความเสี่ยงทั้งหมด จนถึงปัจจุบัน เอกชนขาดทุนสะสมไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท
  • ประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหา คือเงื่อนไขของสัญญาที่เซ็นกันไว้ก่อนหน้านี้ระบุว่า เอกชนต้องได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ก่อน จึงจะเริ่มก่อสร้าง ดังนั้น เมื่อเอกชนยังไม่ได้รับบัตรส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารที่ลดลงจากสถานการณ์โควิด ทำให้ไม่สามารถเสนอแผนทางการเงินให้สมบูรณ์ตามแผนเดิม เพื่อขอรับบัตรส่งเสริมจาก BOI และระยะเวลาการขอรับบัตรส่งเสริมฯ สิ้นสุดลง จึงเกิดสถานะที่เรียกว่า Dead Lock ของสัญญาขึ้น

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหามีอยู่เพียง 2 ทาง ได้แก่ การแก้ไขสัญญา หรือการยกเลิกสัญญาและประมูลใหม่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบทั้ง 2 ทางเลือกแล้ว "การยกเลิกสัญญา" และ "การประมูลใหม่" เป็นทางเลือกที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ทำให้คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้ และการประมูลใหม่จะทำให้รัฐเสียหาย เนื่องจากผลกระทบทางต้นทุน และจะทำให้โครงการล่าช้าไปอีกอย่างน้อย 3 ปี จะส่งผลให้มูลค่าการก่อสร้างสูงขึ้นอย่างมาก และจะกระทบต่อแผนงานโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ในพื้นที่ EEC ที่ลงทุนไปแล้วกว่า 1.8 ล้านล้านบาท รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ

นอกจากนี้ การประมูลใหม่ อาจนำไปสู่การฟ้องร้องและข้อพิพาท ทางกฎหมาย ซึ่งจะทำให้โครงการหยุดชะงัก และไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาในการก่อสร้างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากศาลมีคำสั่งให้ใช้วิธีการคุ้มครองชั่วคราว

ส่วนแนวทางการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ที่กล่าวหาว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากการจ่ายค่างานโยธาให้กับเอกชน จากเดิมที่จะจ่ายเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นการจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้างนั้น นายสุริยะ ระบุว่า โครงการนั้นยังคงเป็นรูปแบบ PPP Net Cost เหมือนเดิม และเอกชนยังคงเป็นผู้รับความเสี่ยงรายได้จากปริมาณผู้โดยสารเหมือนเดิม รัฐไม่ได้เสียผลประโยชน์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ โดยจะเห็นได้ว่าเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติม 160,000 ล้านบาท เพื่อประกันความสำเร็จของการก่อสร้าง และการเปิดเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูง ส่วนที่ฝ่ายค้านบอกว่าการแก้ไขสัญญา รัฐจะเสียหาย เป็นการช่วยเอกชนให้ลดต้นทุนนั้น ไม่เป็นความจริง แนวทางในการแก้ไขสัญญา คือรัฐจะจ่ายเงินน้อยลงจาก 149,650 ล้านบาท เหลือเพียง 125,932 ล้านบาท เพราะเป็นการจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง ทำให้รัฐสามารถประหยัดดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 24,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง เอกชนจะต้องโอนสิทธิความเป็นเจ้าของให้รัฐ เมื่อได้รับเงินร่วมลงทุน จะช่วยให้โครงการนี้เกิดความมั่นคง หากเอกชนไม่สามารถดำเนินการต่อได้ รัฐก็ยังสามารถหาเอกชนรายใหม่มาดำเนินการต่อ ไม่เป็นปัญหาเหมือนโครงการโฮปเวลในอดีต

"ในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ กระทรวงคมนาคมยังคงยึดตามหลักการเดิมที่ ครม.ได้เคยอนุมัติไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 61 แต่กำหนดให้เอกชนต้องจ่ายดอกเบี้ย และหลักประกันเพิ่มขึ้น รวมถึงการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชน ได้มีการปรับให้รัฐได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้น และปรับวิธีแบ่งจ่าย ซึ่งจะทำให้รัฐประหยัดงบประมาณกว่า 24,000 ล้านบาท และได้หลักประกันเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ กระบวนการแก้ไขสัญญายังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน เพื่อเป็นการยืนยันว่ารัฐจะไม่เสียหายและเสียประโยชน์ การแก้ไขปัญหาตามหลักการจะทำให้รัฐมีความเสี่ยงลดลง รัฐจ่ายเงินร่วมลงทุนเท่าเดิม และรัฐได้ค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิ้งก์เท่าเดิม" นายสุริยะ กล่าว

2. การขยายสัมปทานทางด่วน ตามที่นายสุรเชษฐ์ ได้อภิปรายกล่าวหาว่าโครงการนี้ เป็นการหาเหตุต่อขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชน นายสุริยะ ปฏิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่เรื่องนี้ ตนต้องการแก้ไขปัญหาจราจรให้ประชาชน เพราะเป็นหนึ่งในผู้ใช้ทางด่วนเส้นนี้ทุกวัน พบว่าประชาชนที่ใช้ทางด่วนศรีรัช ช่วงพระราม 9 ถึงงามวงศ์วาน ต้องเผชิญกับปัญหารถติดมาก และต้องจ่ายค่าผ่านทางที่แพงมาก

โดยเมื่อตนมารับตำแหน่งในปี 66 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้รายงานว่าโครงการนี้ จะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนโครงข่ายทางด่วนในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ ที่ได้เปิดใช้งานมาแล้วกว่า 35-40 ปี ที่เดิมออกแบบให้รองรับปริมาณจราจร 8-9 แสนคันต่อวัน แต่ปัจจุบันปริมาณจราจรมีถึงกว่า 1-1.2 ล้านคันต่อวัน โดยเฉพาะบนทางด่วนศรีรัช ช่วงพระราม 9 ถึงงามวงศ์วาน เป็นการเพิ่มจำนวนช่องจราจร ลดการตัดกระแสจราจรอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสามารถแยกรถเดินทางไกล และใกล้ออกจากกัน โดยไม่ต้องมีการเวนคืนที่ดินของประชาชน

โครงการ Double Deck เป็นโครงการต่อเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลในอดีต เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 63 ที่ให้กระทรวงคมนาคมโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ไปศึกษาหาทางแก้ไขปัญหาจราจรบนทางด่วนที่ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติ โดยกทพ. ได้ศึกษาวิเคราะห์และเสนอผลการศึกษาขึ้นไปตามลำดับ และครม. มีมติรับทราบ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 65

ทั้งนี้ หากโครงการ Double Deck แล้วเสร็จ ประชาชนผู้ใช้ทางจะสามารถลดระยะเวลาการเดินทางบนทางด่วน ในช่วงงามวงศ์วานถึงพระราม 9 จาก 60 นาที เหลือ 40 นาที และทำให้ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางเพิ่มขึ้น จาก 20 กม./ชั่วโมง เป็น 27 กม./ชั่วโมง ดังนั้น หากดำเนินโครงการ Double Deck สำเร็จ จะทำให้ประชาชนประหยัดน้ำมันและเวลาในการเดินทาง คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 7,000 ล้านบาท/ปี ดังนั้น ถ้าไม่สร้างตอนนี้ รอสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดลงแล้วค่อยสร้าง ประชาชนจะยังคงเดือดร้อนไปอีกนับ 10 ปี ประเทศชาติเสียโอกาส ใครจะรับผิดชอบ

สำหรับประเด็นค่าก่อสร้างของโครงการนี้ ที่มากกว่าโครงการทางด่วนยกระดับชั้นเดียว เนื่องจากการก่อสร้างโครงการ Double Deck เป็นโครงสร้างรูปแบบพิเศษ ที่ใช้เทคนิควิศวกรรมขั้นสูง มีความสูงกว่า 20 เมตร จำเป็นต้องก่อสร้างเหนือทางด่วนศรีรัช เนื่องจากการขยายทางด่วนออกด้านข้างเป็นไปไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเวนคืนที่ดินประชาชนในเขตเมืองหนาแน่น และการก่อสร้างจำเป็นต้องมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุด กระทบต่อประชาชนและผู้ใช้ทางด่วนให้น้อยที่สุด

ส่วนประเด็นการลดค่าทางด่วนเหลือ 50 บาทนั้น ก็เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ในการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน กระทรวงคมนาคมโดย กทพ. ได้วิเคราะห์และให้ใช้กับโครงข่ายทางด่วนในเขตเมืองเป็นลำดับแรก ประกอบด้วยโครงข่ายทางด่วนเฉลิมมหานครและทางด่วนศรีรัช ซึ่งมีปริมาณจราจรประมาณ 1 ล้านคันต่อวัน คิดเป็น 60% ของผู้ใช้ทางด่วนทั้งหมด โดยการปรับลดค่าผ่านทางจากเดิมที่ต้องจ่ายมากสุด 90 บาท เหลือจ่ายไม่เกิน 50 บาท

โดยเรื่องการชี้แจงและเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงาน และคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ ของสภาฯ นั้น นายสุริยะ ระบุว่า ทราบอยู่แล้วว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เชิญ กทพ. เข้าไปชี้แจง โดย กทพ. ได้เข้าชี้แจงและให้ข้อมูลแล้ว ซึ่งสำนักงานป.ป.ช. ก็ไม่ได้มีข้อกล่าวหาว่าการเจรจาเพื่อแก้ไขสัญญาสัมปทานในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการที่มิชอบแต่อย่างใด

ส่วนที่คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญและขอข้อมูลกทพ. มานั้น ตนได้รับรายงานว่า กทพ. ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการทุกครั้งที่เชิญมา รวมทั้งได้เปิดเผยข้อมูลการดำเนินการในส่วนที่สามารถเปิดเผยได้ ได้แก่ เหตุผลความจำเป็น รูปแบบการดำเนินงาน ผลการศึกษาความเหมาะสม และผลการดำเนินงานต่าง ๆ ในภาพรวม ยกเว้นข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการของเอกชน ซึ่งเอกชนได้แจ้งสงวนสิทธิ์ต่อ กทพ.ไว้ โดยในเรื่องนี้ ได้สั่งการให้ผู้ว่าการกทพ. ดำเนินการทุกอย่างให้เป็นไปตามระเบียบ มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ไม่มีการปกปิดข้อมูลแต่อย่างใด

"เคยได้กล่าวในสภาฯ หากผู้อภิปรายมีข้อแนะนำเรื่องใด ในภารกิจของกระทรวงคมนาคม หรือต้องการข้อมูลอะไรที่ไม่มีความชัดเจน หรือสงสัยเรื่องใดประการใด ขอเชิญให้ไปพบหรือติดต่อ โทรหา ได้ที่กระทรวงคมนาคม แต่ที่ผ่านมา สส.สุรเชษฐ์ ก็ไม่เคยเข้าไปที่กระทรวงคมนาคมเพียงสักครั้งเดียว จึงขออนุญาตเรียนประธานสภาผ่านไปยังสมาชิกผู้อภิปรายดัง ๆ อีกครั้ง หากผู้อภิปรายมีข้อแนะนำเรื่องใดในภารกิจของกระทรวงคมนาคม หรือต้องการข้อมูลให้ไปพบที่กระทรวงคมนาคม เพื่อรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริง และข้อเสนอแนะ อันจะเป็นประโยชน์กับประชาชน จะให้ความร่วมมือเต็มที่" นายสุริยะ กล่าว

ด้าน นายสุรเชษฐ กล่าวชี้แจงกรณีถูกนายสุริยะพาดพิงว่า เรื่องที่ตนไม่เคยเดินทางไปกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า ยินดีไปที่กระทรวงคมนาคม แต่รอหนังสือเชิญจาก รมว.คมนาคม อยู่ และขอให้เชิญสื่อมาเป็นสักขีพยานด้วย แต่ในทางกลับกัน ตนเชิญนายสุริยะ มาชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ในสภาฯ แต่นายสุริยะก็ไม่เคยมา แต่ส่งนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม มาตอบคำถามแทนตลอด ซึ่งในบางเรื่องรมช.คมนาคม ก็ไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องที่ถามไป

ทั้งนี้ คำถามที่ต้องการคำตอบ คือเรื่องรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่นายสุริยะ เคยประกาศเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 67 ว่า ไม่เลื่อน ไม่แก้ แต่ตอนนี้จะปล่อยให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายด้วยการเลื่อน เพื่อแก้ใช่หรือไม่ ส่วนประเด็นเรื่องสัมปทานทางด่วน ที่มีการขยายไปแล้วถึงปี 2578 แต่รัฐบาลกำลังจะขยายเพิ่มไปถึงปี 2601 เป็นดีลข้ามศตวรรษใช่หรือไม่

นายสุริยะ กล่าวตอบว่า เรื่องการตอบกระทู้ที่บอกว่าตนเบี้ยว ได้มอบหมาย รมช.คมนาคม ไปตอบแทน และได้ชี้แจงชัดเจนครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว สำหรับประเด็นเรื่องการแก้ไขสัญญา ยอมรับว่าเคยพูดจริงว่าไม่เลื่อน แต่หลังจากกลับมาที่กระทรวงฯ และได้คุยกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เห็นว่ามีความจำเป็นต้องเลื่อน เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่การเลื่อนไปโดยไม่มีเหตุผล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ