นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีกรณีซื้อหุ้นต่อจากมารดาและเครือญาติรวม 5 รายในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) มูลค่า 4.4 พันล้านบาท โดยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายหลีกเลี่ยงไม่ให้มารดาและเครือญาติต้องจ่ายภาษีกว่า 218 ล้านบาทว่า ประชาชนยังรอฟังคำตอบจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังออกมายอมรับว่าได้มีการซื้อตั๋วสัญญา PN จริง และจะมีการจ่ายเงินภาษีในปีหน้า ซึ่งหากตนไม่ออกมาเปิดเผยจะมีการชำระภาษีหรือไม่
นอกจากนี้ประชาชนยังรอคำตอบจากนายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากรถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ระบุว่าเป็นเรื่องปกติของคนในแวดวงธุรกิจที่ทำกัน และหากเป็นเรื่องปกติ ขอให้คนที่ทำเช่นนี้ช่วยแสดงตัว แต่จากการที่ตนสอบถามไม่มีใครแสดงตัวเพราะกลัวกรมสรรพากร
"ผมต้องตั้งคำถามกลับว่า ถ้าโมเดลของนางสาวแพทองธารที่ทำอยู่ ที่เอาตั๋ว PN ที่ไม่มีกำหนดวันจ่าย ไม่มีดอกเบี้ยไปแลกกับหุ้นบริษัทของคนในกงสีเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทำไมไม่กล้าแสดงตัว ไม่กล้าบอกต่อว่า ใครแบบนี้บ้าง ทำไมมันนิรนามจนถึงทุกวันนี้" นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า อธิบดีกรมสรรพากร ต้องตอบว่าพฤติกรรมของ น.ส.แพทองธาร ทำได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันมีเจ้าของห้างร้านจำนวนมากกำลังโอนหุ้นในทรัพย์สินให้กับลูก จะได้ยึดโมเดลของ น.ส.แพทองธาร เป็นแบบอย่าง ซึ่งตนเฝ้าติดตามอยู่ว่าอธิบดีกรมสรรพากรจะให้ความเห็นเรื่องนี้อย่างไร จะมีระเบียบออกมาชัดเจนหรือไม่ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีการรับให้อัตรา 5% มีความเสมอภาคทั้งประเทศ แต่เท่าที่ทราบอธิบดีกรมสรรพากรยังไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
นายวิโรจน์ ยืนยันว่า มีคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาแล้วว่า ถ้าใช้ตั๋ว PN ในลักษณะจำแลง การซื้อขายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงตามเจตนา ก็มีความผิดตามกฎหมาย และเจตนารมณ์ภาษีรับให้เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับการรกระทำแบบ น.ส.แพทองธาร ใช่หรือไม่ และคนที่ตอบได้ดีที่สุดคือ อธิบดีกรมสรรพากร
ทั้งนี้ ตนจะไปยื่นเรื่องกับอธิบดีกรมสรรพากรในเร็ว ๆ นี้ หากเรายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติจะมีผลกระทบการจัดเก็บภาษีของประเทศ ซึ่งคนที่เป็นระดับผู้นำของประเทศควรทำพฤติกรรมแบบนี้หรือไม่ และมองว่า พฤติกรรมแบบนี้ไม่ควรจะเกิดกับใครทั้งสิ้น แต่ประชาชนควรได้รับความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย
นายวิโรจน์ ย้ำว่า คนที่เสียภาษีมากหรือเสียภาษีน้อย ไม่ได้สำคัญเท่ากับเสียภาษีครบถ้วนหรือไม่ คนที่เสียภาษีมากกว่าใครไม่ได้หมายความว่า มีศักดิ์ศรีของความเป็นพลเมืองไทยมากกว่าใคร ปัญหาคือเสียภาษีครบหรือไม่ หรือใช้เทคนิค หรือวิธีการอื่นใดในการหลบเลี่ยง หรือหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ ตรงนี้อธิบดีกรมสรรพากรต้องให้คำตอบได้แล้ว
นายวิโรจน์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่อธิบดีกรมสรรพากรไม่ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ เพราะเป็นบุตรชายคนโตของนายปลอดประสพ สุรัสวดี และไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามว่านายปลอดประสพมีสัมพันธ์ที่ดีกับ น.ส.แพทองธารอย่างไร
นายวิโรจน์ กล่าวถึงกรณีถือครองที่ดินโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ว่า ยังไม่ได้รับคำตอบจาก น.ส.แพทองธาร โดยมีเพียงนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ออกมาชี้แจงแทน แต่ตนยังมีความสับสนอยู่ เพราะนายวราวุธอ้างถึงประกาศคณะปฏิวัติ พ.ศ.2515 ซึ่งเป็นปีที่มีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง แต่ไม่ได้ยกเลิกมติ ครม.ปี 2514 ที่กำหนดว่าพื้นที่แปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร แสดงว่าประกาศคณะปฏิวัติ 2515 ไม่ได้ยกเลิกพื้นที่ต้นน้ำลำธารตามมติ ครม.ปี 2514 แสดงว่าพื้นที่ต้นน้ำลำธารยังคงอยู่
เมื่อปี 2567 คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฎรได้ขอข้อมูลไป และมีการส่งแผนที่ของที่ดินแปลงดังกล่าวมาให้ก็ยังปรากฏว่า เป็นที่ดินต้นน้ำลำธารยังคงอยู่ และถ้าที่ดินต้นน้ำลำธารยังอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 ข้อ 14 (5) ก็ออกโฉนดไม่ได้ และล่าสุดการชี้แจงของกรมที่ดินที่น่าแปลกใจและน่าตกใจมาก ๆ จึงขอตั้งคำถามว่า มติของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติลบล้างมติ ครม.ปี 2514 ได้หรือไม่ ซึ่งกรมที่ดินต้องยืนยันว่ามติคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติดังกล่าวใหญ่กว่ามติ ครม.ได้อย่างไร ศักดิ์และสิทธิ์ของกฎหมายเป็นอย่างไร
สิ่งสำคัญที่สุดอยากให้สื่อเข้าไปดูมติของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ โดยเฉพาะกรมที่ดินซึ่งเป็นผู้ประกาศกฎ ในรายละเอียดบอกว่า ให้สิทธิการครอบครอง แต่ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่า ถ้ายึดตามมติคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์แต่ให้สิทธิครอบครอง ก็ยังยืนยันว่าออกโฉนดไม่ได้ ไม่ใช่ออกโฉนดแล้วถูกกฎหมาย แต่คำถามตอนนี้คือออกโฉนดมาได้อย่างไร ที่ตรงนั้นเป็นที่ต้นน้ำลำธาร ตรงนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ตอบสังคม และชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ประชาชนรับทราบ