น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยจะเห็นว่าการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศได้นั้น ไม่ใช่เพราะความเก่ง แต่มาเพราะโชคช่วย ยุครัฐบาลของอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่ว่าเศรษฐกิจแย่แล้ว แต่รัฐบาลยุคของ น.ส.แพทองธาร กลับแย่กว่า เพราะไม่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารเศรษฐกิจ บริหารเศรษฐกิจได้ล้มเหลว แต่สิ่งที่ช้ำใจมากไปกว่านั้น และเป็นความผิดอย่างมหันต์ คือ การที่ทำให้คนกลับไปร้องหา คิดถึงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
"เศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เลวร้ายในรอบ 10 ปี ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจจากการรัฐประหาร วิกฤติเศรษฐกิจจากผลพวงจากโควิด ท่านทำท่าไหน ถึงให้คนกลับไปคิดถึง พล.อ.ประยุทธ์ได้ แบบนี้เรียกว่าเสียของจริง ๆ คนที่อุตส่าห์เข้าคูหาไปเลือกตั้ง เพราะหวังว่าอยากได้รัฐบาลประชาธิปไตย ที่ส่งสัญญาณชัดว่าพอกันทีกับเศรษฐกิจยุคดิ่งเหว ให้อภัยไม่ได้จริง ๆ ที่นายกฯ กำลังทำให้คนพากันลืมภาพร้ายๆ ของรัฐประหาร ทำให้ความทรงจำเลวร้ายมันเลือนลาง กลายเป็นความทรงจำที่มีเสียงว่า สมัยลุงตู่ ยังดีกว่านี้เลย" น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
ทั้งนี้ อยากฝากไปถึงนายกรัฐมนตรีว่า ขณะนี้ความเดือดร้อนเกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะเป็นรายได้ฝืดเคืองของเกษตกร แรงงาน ค่าครองชีพสูง ทำมาหากินไม่คล่องตัว การซื้อขายในตลาดเงียบเหงา หนี้ครัวเรือนท่วมทั้งในระบบนอกระบบ บริษัทห้างร้านทยอยปิดตัว คนตกงาน เศรษฐกิจโตต่ำ ปัญหาเฉพาะหน้าแก้ไม่ได้ ปัญหาโครงสร้างไม่เคยพูดถึงอย่างจริงจัง
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า รายได้เกษตรกรตกต่ำ โดยเฉพาะเกษตรกรที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งข้าว, มันสำปะหลัง, อ้อย, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน ปัญหาเงินในกระเป๋าของเกษตรกรอยู่ที่นายกรัฐมนตรีไม่ใส่ใจที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ใช้คนไม่เหมาะสมกับงาน รัฐมนตรีรายงานอะไรมาก็เชื่อตามนั้น ทำให้เห็นว่ารัฐบาลเพื่อไทยไม่สนใจเกษตรกรที่เป็นฐานเสียงหลักของพรรค ดังเช่นที่เคยพูดเสมอในตอนหาเสียงว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาค่าครองชีพให้ประชาชน เพื่อทำให้คนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
ขณะที่ประชาชนมีปัญหากำลังซื้อหดตัว จากค่าครองชีพสูงไม่สัมพันธ์กับรายได้ นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตต่าง ๆ ยังปรับขึ้นราคา ทั้งค่าไฟฟ้า, น้ำมันเชื้อเพลิง, ก๊าซหุงต้ม, ปุ๋ยเคมี, ปูนซีเมนต์ ซึ่งแนวโน้มราคาพลังงานนอกจากจะไม่ลดลงแล้ว ยังมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นได้อีก อันเนื่องมาจากดีลต่าง ๆ ที่รัฐบาลไปทำไว้
"ปัญหาเงินในกระเป๋าเกษตรกรที่แฟ่บลงทุกวันนี้ ไม่โทษ รมว.พาณิชย์ ไม่โทษ รมว.เกษตรฯ แต่ต้องโทษนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใส่ใจจริงจังกับการแก้ปัญหาให้พี่น้องเกษตรกร รัฐมนตรีมารายงานอะไรก็เชื่อ ไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถให้ทิศทางการแก้ปัญหาแก่รัฐมนตรีได้ ก็ปล่อยให้ทำไป ได้แต่สั่งให้ไปแก้ปัญหา แต่ไม่บอกว่าให้ทำอะไร ไม่แยแสว่าต้องเตรียมการอะไรล่วงหน้า แถมยังไม่มีน้ำยาพอจะประสานงานกับรัฐมนตรีต่างพรรคได้เลย" น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
นอกจากนี้ ความหวังของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศตามที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้ ก็ยังไม่สามารถทำได้จริง หลายโรงงาน สถานประกอบการ ร้านค้า ผู้ประกอบการ SMEs ต่างทยอยปิดตัว บางแห่งไม่มีเงินจ่ายชดเชยให้กับแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ส่วนหนึ่งโดนผลกระทบจากปัญหาสินค้าจีนไหลเข้ามาตีตลาดในประเทศ ซึ่งการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไม่ทันการกับการรุกคืบเข้ามาของสินค้าจากจีน
"SME ต้องจมกองหนี้ จากปัญหาสภาพคล่อง สินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาด รัฐบาลดูจะเกรงใจประเทศจีนมาก เราแค่ขอให้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าให้เข้มข้นขึ้น แค่นี้มันจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขนาดนั้นเลยหรือ" รองหัวหน้าพรรคประชาชน ระบุ
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ความสิ้นหวังของประชาชนไม่ได้มีแค่ชนชั้นกลาง กับชนชั้นล่างเท่านั้น แต่ยังมีไปถึงนักลงทุนในตลาดหุ้น ยังโดนผลกระทบจากการบริหารงานของรัฐบาลที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน แม้ช่วงแรกที่รัฐบาลแพทองธาร เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยดีดขึ้นแรง แต่หลังจากมีนโยบายกองทุนวายุภักษ์ 2 ออกมา ดัชนีหุ้นไทยก็ดิ่งลงไม่หยุด และลงไปเท่ากับในปี 2555 ที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปถึง 3 ล้านล้านบาท หรือลดลงไป 20%
นอกจากนี้ บริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ก็แทบเอาตัวไม่รอด กำไรลดลงต่อเนื่อง และแนวโน้มยังไม่ดี ซึ่ง 1 ใน 3 ของบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการขาดทุน โดยมีเพียงไม่กี่บริษัทที่ยังเติบโตได้ เพราะมีความสัมพันธ์ที่แนบชิดหรือสนิทสนมกับผู้มีอำนาจทางการเมืองในปัจจุบัน หรือกลุ่มที่มีสัมปทานจากรัฐ ซึ่งพบว่าบางบริษัทยังสามารถทำกำไรได้สูงสุดตลอดกาล เช่น ค้าปลีก, ธนาคาร, บริษัทมือถือ
"การเข้าไปลงทุนแต่ละตัวยังต้องลุ้น เสี่ยงโชคยิ่งกว่า Entertainment Complex ไม่รู้ว่าเจ้าของบริษัทจะป๊อกเมื่อไร เพราะการกำกับดูแลย่อหย่อน ปัญหาสภาพคล่อง ปัญหาการขาดธรรมาภิบาลเต็มไปหมด ไม่สามารถออกมาตรการที่สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนได้เลย จนล่าสุดมีการจัดอันดับว่า ไทยมีดัชนีหุ้น ที่เป็นผลงานแย่สุดในโลกจากทั้งหมด 92 ดัชนีที่บลูมเบิร์กติดตาม และมองว่ามาตรการพยุงตลาดหุ้น ไม่ได้ผล และกำลังล้มเหลว" น.ส.ศิริกัญญา
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า รัฐบาลที่บอกว่าจะสร้างโอกาสให้กับประชาชนนั้น ทุกวันนี้ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นแค่การแก้ปัญหารายวัน ขายผ้าเอาหน้ารอด ไฟลนก้นแล้วค่อยออกมาตรการ ไม่เตรียมความพร้อมมาตรการเพื่อรับมือปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมเชื่อว่า จากนี้เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ช่วงขาลงแน่นอน
"ใครมาบอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดี ขอเถียงขาดใจ ตอนนี้คือดีสุดแล้ว พีคแล้ว ต่อจากนี้ไปจะเป็นขาลงอย่างเดียวแล้ว ไตรมาส 1 ปีนี้คาดโต 3% นี่คือดีที่สุดที่จะมีแล้ว ต่อจากนั้น (ไตรมาส 2) จะเหลือ 2.7% และไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เหลือ 1.9% นายกฯ รับมือกับเศรษฐกิจตกต่ำอย่างไร แน่นอน คือการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อาการแบบนี้ เราต้องคิดแล้ว คาดหวังแล้วว่าต้องมีแผนการที่รอบคอบ คิดเสร็จแล้วประกาศให้พี่น้องประชาชนเรียกความเชื่อมั่นศรัทธากลับคืนมา เพราะนายกฯ นั่งเป็นประธานเองในบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ประชุม 2 ครั้ง ยังวนเวียน ไม่สะเด็ดน้ำ ยังซ้ำซากกับมาตรการเดิม ๆ แม้จะรู้ว่าไม่ได้ผล" น.ส.ศิริกัญญา ระบุ
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า จากที่อภิปรายมาทั้งหมดนี้ ไม่คาดหวังการชี้แจงอะไรจากนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว เพราะเชื่อว่าประชาชนเบื่อฟังคำแก้ตัวที่บิดเบือน ด้อยค่าประชาชน ไม่ต้องยกว่าตัวเลขเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นมีพื้นฐานแข็งแกร่ง คนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่อยากฟังคำแก้ตัวเหล่านี้ เพราะยิ่งพูดยิ่งสะท้อนว่านายกฯ และบรรดารัฐมนตรี เหมือนอยู่คนละโลกกับประชาชน
"การประกาศว่ามีแผนจะทำนู่น ทำนี่ ไม่อยากฟังแล้ว เพราะช่วงเวลาที่ต้องบอกกับสาธารณะ หรือบอกกับประชาชนว่าแผนการต่างๆ เป็นอย่างไร ช่วงเวลาที่ท่านพูดเสร็จทุกคนเห็นด้วย สร้างความเชื่อมั่น ทุกคนกล้าใช้เงิน กล้าจับจ่ายใช้สอยอีกครั้งนั้น มันได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เราให้เวลา ให้โอกาสกับพวกท่านมามากพอแล้ว แต่ท่านทำไม่เคยได้ ยังคงทำแต่นโยบายรายวัน ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ ฝันไกล แต่ไปไม่ถึงดวงดาว หลังชนฝาก็ไปควักนโยบายเก่าๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้วออกมาใช้ หมดหนทางจริง ๆ ก็ร้องให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย"
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า รัฐบาลอย่ามาแก้ตัวว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจพังมาก่อนหน้านี้นานแล้ว หรือเพราะธปท.ไม่ลดดอกเบี้ย หรือรัฐมนตรีพรรคร่วมเยอะเกินไป จึงทำให้การแก้ปัญหาของรัฐบาลไม่สำเร็จ เพราะความจริงแล้วศักยภาพของผู้นำรัฐบาลเป็นแบบนี้ แม้ในเวลานี้ที่คลื่นลมยังไม่ปั่นป่วนมาก ยังทำให้วิบัติได้ขนาดนี้ พายุหมุนทางเศรษฐกิจของแท้กำลังจะมา และคลื่นลมจะสูง ลมจะแรงปั่นป่วนมากกว่านี้อีกมาก
"ถ้าจะให้เศรษฐกิจรอดได้ ประเทศรอดได้ ประชาชนรอดได้ เราไม่สามารถจะมีผู้นำประเทศแบบนี้ได้จริง ๆ เราไม่สามารถจะอดทนกันต่อได้แล้ว เราไม่สามารถอยู่ในสภาวะสิ้นหวังแบบนี้ได้อีกต่อไป ไม่สามารถยอมเอาอนาคตลูกหลานไปเสี่ยงได้อีกแล้ว เราไม่สามารถไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป" รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวในท้ายสุด