
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ชี้แจงกรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจว่า อยากให้ประชาชนและประเทศมีความหวัง แม้จะยากลำบาก ซึ่งตนเห็นด้วยว่าเศรษฐกิจไม่ดีจริง ไม่ดีมาอย่างยาวนาน เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ตั้งแต่เรื่องราคาพืชผลเกษตร เรื่องการลงทุนอุตสาหกรรมสู้ต่างชาติไม่ได้ นวัตกรรมใหม่สู้ไม่ได้ การลงทุนภาครัฐมีการเบิกจ่ายล่าช้า โดยปีนี้ตั้งเป้าเบิกจ่ายให้ได้ 75% และเรื่องการส่งออกสินค้าที่ยังสร้างมูลค่าให้กับประเทศได้น้อย
ทั้งนี้ ยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยในระดับ 1.9% มาเป็นเวลานาน แต่ล่าสุด จากที่เติบโต 2.5% มาเป็น 3.0% แม้ดีจีพีของไทยอาจโตไม่เท่าประเทศอื่น ที่โตในระดับ 5-6% แต่เราตั้งเป้าว่าจีดีพีปี 68 ต้องไม่ต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นความหวังที่ต้องสู้ให้ได้ และเมื่อดูผลการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ เติบโตอย่างช้า ๆ เป็นลำดับขั้น
สำหรับด้านสินค้าเกษตร โดยเฉพาะเรื่องข้าวนั้น ไทยเคยมีการส่งออกข้าวมากกว่าการบริโภคในประเทศ และราคาที่ส่งออกเกือบจะเท่ากับต้นทุนในข้าวบางพันธุ์ แปลว่า เราส่งออกในสิ่งที่ไม่มีกำไรเหลือเลย ในอดีตย้อนหลัง 10 ปี เราผลิตข้าวสาร 21 ล้านตัน บริโภคในประเทศ 9 ล้านตันและส่งออก 12 ล้านตัน แต่ในขณะนี้การผลิต 17 ล้านตัน บริโภคเพิ่มขึ้นมา 11 ล้านตัน ส่งออก 6 ล้านตัน จึงจำเป็นต้องใช้พื้นที่ปลูกให้น้อยลง และนำพื้นที่ปลูกไปทำอย่างอื่นในที่เราขาดอยู่ โดยเฉพาะสินค้าที่เรานำเข้า เช่น ข้าวโพด หากมีดินที่ดี อาจได้ราคา 15,000-16,000 บาทต่อไร่ ซึ่งต้องทำให้คนเข้าใจ จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลต้องดูแลอย่างน้อย 3-5 ปี และส่งเสริมให้เกษตรกรไปปลูกข้าวโพดแทน
"สินค้าเกษตรของทุกประเทศ เป็นยุทธปัจจัย ถือเป็นความมั่นคงของประเทศ จึงต้องมีการจัดระบบของราคาและการปลูก เพื่อเพิ่มมูลค่าในการส่งออก และเลือกส่งออกสินค้าเกษตรเฉพาะสิ่งที่ต้นทุนดีกว่าในประเทศ" รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าว
ส่วนด้านอุตสาหกรรมนั้น นายพิชัย ยืนยันว่า เราจะเปลี่ยนอุตสาหกรรมที่ลงทุนในไทยมูลค่า 10 ล้านล้านบาททีเดียวไม่ได้ โครงสร้างอุตสาหกรรมเก่ายังอยู่ไม่ได้สูญหายไป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็คทรอนิกส์ ส่วนอุตสหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอีวีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับการอนุมัติส่งเสริมลงทุนผ่านบีโอไอ ในปีที่ผ่านมา เกิน 1.1 ล้านล้านบาท โดยรูปแบบการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลง คนที่เข้ามาลงทุนกลับเป็นฝ่ายเร่งรัดต้องการลงทุนเร็วขึ้น และเห็นผลภายใน 2 ปี ส่งผลให้เม็ดเงินเข้ามาในประเทศมากขึ้น
สำหรับด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลจะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาอยู่ในไทยนานขึ้น และใช้จ่ายเงินมากขึ้น เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวมากขึ้น และการลงทุนด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเราได้เพิ่มรถไฟรางคู่แล้วอีกพันกว่ากิโลเมตร ทำให้ขนส่งได้มากขึ้น จากหนองคายมาถึงกรุงเทพมหานคร และจะมีการเชื่อมไปยังทางใต้ผ่านโครงการแลนบริดจ์ รวมถึงรถไฟความเร็วสูง
รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า ในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเติมเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งด้วยกฏหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ไม่สามารถพิมพ์เงินใหม่ขึ้นแข่งกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ ไม่สามารถเพิ่มปริมาณใหม่ แต่เราทำให้เงินดิจิทัลเพื่อมีสภาพคล่องมากขึ้น เข้าสู่รายย่อยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นจีโทเคน ไม่ใช่เงินใหม่ ซึ่งใครมีสามารถเข้าไปแลกเปลี่ยนได้ หากเป็นแบบนี้ใครที่มีเงินฝาก 20,000 บาท สามารถซื้อธนบัตรรัฐบาลได้ แต่ทั้งนี้ ธปท.ยังไม่เห็นด้วย
"นี่ไม่ใช่เงินใหม่ที่รัฐบาลพิมพ์ เป็นเงินที่ถูกต้อง เสมือนหนึ่งที่แบงก์ชาติได้อยู่ เราจะไม่ทำอะไรที่แบงก์ชาติไม่เห็นด้วย" นายพิชัย กล่าว
สำหรับเรื่องตลาดหุ้น ในเรื่องความได้เปรียบของนักลงทุนต่างประเทศต่อนักลงทุนไทย รัฐบาลได้แก้ปัญหาไปแล้ว 80-90% และต้องทำให้คนที่ทำไม่ถูกต้องได้รับการลงโทษ
ส่วนเรื่องการแก้หนี้ นายพิชัย กล่าวว่า คนเป็นหนี้สิ่งแรกขอยืดหนี้ ส่วนใหญ่ทำได้เฉพาะคนที่เกินกำลังอยู่ จากโครงการคุณสู้เราช่วย มีคนเข้าสู่โครงการไม่เกิน 30% ซึ่งเงินเตรียมไว้สำหรับปรับโครงสร้างหนี้คงใช้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
"จากหนี้ทั้งหมด 13.6 ล้านล้านบาท เราคงไม่ซื้อทั้งระบบ แต่จะเลือกซื้อเฉพาะที่เป็นหนี้เสียแล้ว เราจะเลือกลูกหนี้ไม่มีความสามารถในการชำระคืน หรือไม่มีหลักทรัพย์ ธนาคารไม่สามารถตามหนี้ได้ ซึ่งหนี้ตรงส่วนนี้มีปัญหาประมาณ 5 ล้านกว่าคน แต่ที่เป็นยอดหนี้น้อย 3 ล้านกว่าคน หรือกว่า 65 % เราจะทำการซื้อหนี้มาแก้ไขให้ และจะหาทางทำให้หลุดจากเครดิตบูโรโดยมีเงื่อนไข และหลังจากนี้ สามารถไปติดต่อธนาคารเพื่อขอสินเชื่อได้ ถือเป็นการให้โอกาส ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ จะไปที่ตัวเล็ก ๆ ก่อน" นายพิชัย ระบุ
นายพิชัย ย้ำว่า เศรษฐกิจลำบากมานานแต่ต้องทำหลาย ๆ อย่าง ไม่สามารถทำได้ภายใน 1-2 ปี แต่ต้องทำคู่ขนานกันไป พร้อมขอบคุณฝ่ายค้านที่หยิบปัญหาขึ้นมา และขอยืนยันว่ารัฐบาลตั้งใจแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพีได้ถึง 3% และสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้