
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องที่ยื่นให้ยุบพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาล กรณีให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรคว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยเลขาธิการ กกต.ได้สั่งให้คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน และสอบปากคำคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
"เรื่องนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว เข้าใจว่าคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจะสามารถเสนอเรื่องให้ เลขาธิการกกต. พิจารณาได้ในเร็ววันนี้ว่า กรณีนี้เป็นเหตุอันควรยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคหรือไม่" นายอิทธิพร กล่าว
ทั้งนี้ หากเลขาธิการกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เห็นควรให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก็จะต้องเสนอเรื่องให้ที่ประชุมกกต. พิจารณา ถ้าที่ประชุมกกต. เห็นด้วยกับเลขาธิการกกต. ก็จะส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเลขาธิการกกต. เห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอเชื่อถือได้ว่า การกระทำนี้ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมือง ก็จะสั่งยุติเรื่อง
ส่วนกรณีฮั้วเลือกสว. ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมเป็นเจ้าพนักงานสืบสวนและไต่สวน นายอิทธิพร กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการสืบสวนไต่สวนมีความคืบหน้าไปแล้ว 30% เราไม่ได้ทำงานเริ่มจากศูนย์ เพราะดีเอสไอได้มีการรวบรวมข้อเท็จจริงเบื้องต้นเอาไว้แล้ว แต่การสอบพยานบุคคลมีเป็นจำนวนมากจึงต้องใช้เวลา
โดยขั้นตอนการทำงานจะเริ่มจากคณะกรรมการฯ มาสู่ส่วนกลาง ทั้งความเห็นของเลขาธิการกกต. แล้วส่งต่อไปยังอนุกรรมการวินิจฉัยเพื่อกลั่นกรองก่อนจะเสนอที่ประชุมชุดใหญ่กกต. พิจารณา ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ล่าช้า
อย่างไรก็ตาม การทำงานของคณะกรรมการฯ ชุดนี้ไม่ต้องแจ้งความคืบหน้ามายังกกต. ใหญ่ เพียงแต่มีการสอบถามแบบไม่เป็นทางการ เพราะจะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ เมื่อคณะกรรมการฯ ทำเสร็จ เรื่องจะมาอยู่ที่ส่วนกลางคือสำนักเลขาธิการฯ ทุกคดีทำตามขั้นตอนเหมือนกัน
"จะมีเรียกสว. สำรองมาให้ปากคำหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ ถ้ารับเป็นสำนวนแล้วก็ควรจะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำให้ครบถ้วน เปิดโอกาสให้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เพื่อสอบสวนแล้วสรุปสำนวนเป็นอย่างไรก็ส่งมายังกกต. หรือถ้าเห็นว่าต้องมีการสอบปากคำเพิ่มก็ดำเนินการได้ เรื่องนี้เป็นไปตามระเบียบสืบสวนไต่สวน" นายอิทธพร กล่าว