61 ส.ว.ยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลบริหารราชการส่อสร้างความเสียหาย

          กลุ่มส.ว. 61 คน เข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อให้รัฐบาลชี้แจงปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดจนปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินที่ส่อว่าจะเกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง  โดยการอภิปรายดังกล่าวจะไม่มีการลงมติใด ๆ 
          นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า การกำหนดวันเปิดอภิปรายทั่วไปนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเป็นผู้พิจารณากำหนดวันที่เหมาะสม แต่สำหรับความเห็นส่วนตัวมองว่าวันที่สะดวกที่สุดน่าจะเป็นวันที่ 23 มิ.ย.51
          สำหรับเนื้อหาในจดหมายที่กลุ่ม ส.ว.ให้เหตุผลของการเข้าชื่อเพื่อยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปนั้น เป็นเพราะเห็นว่าจากการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ขณะนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สงบสุข และความไม่เรียบร้อยเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ปกติโดยเฉพาะการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ส่อจะขัดต่อมาตรา 291 ในรัฐธรรมนูญปี 50 เพราะมีลักษณะเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ใช่การแก้ไขบางประเด็น
          นอกจากนี้แนวโน้มความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจบริหารโดยตรง โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 ที่ไม่อาจป้องกันการปะทะกันของมวลชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ NBT ของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 พ.ค.และ 1 มิ.ย.ที่มีลักษณะยั่วยุ
          ปัญหาราคาสินค้าแพงที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันและพลังงานที่จำเป็นต้องมีนโยบายแก้ไขอย่างชัดเจนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว แต่กลับยังไม่มีความชัดเจนทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด, การชักนำนายทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างกว้างขวางซึ่งสังคมตั้งข้อสังเกตว่าเสมือนเป็นการเตรียมยึดครองทรัพยากรและผลประโยชน์ชาติตลอดจนสิทธิสัมปทานต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติอย่างมีเงื่อนงำ เช่น การให้ต่างชาติศึกษาและลงทุนผูกขาดในโครงการแลนด์บริดจ์, การเปิดช่องให้นายทุนต่างชาติเข้ามาหาประโยชน์จากการทำนาที่เป็นอาชีพสงวนของคนไทย
          นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสงสัยถึงการบริหารราชการแผ่นดินที่มิได้ยึดหลักธรรมาภิบาล การโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม การกดดันองค์ตรวจสอบอิสระ และการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วย