นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเสนอให้ที่ประชุมพรรค ปชป.เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่ออายุการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยจะต้องเสนอออกเป็นร่างพระราชบัญญัติมารองรับ
"คตส.ต้องทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นพนักงานสอบสวนและเป็นโจทก์ร่วมในคดีทุจริตที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล ซึ่งถ้าไม่ดำเนินการเช่นนี้ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าก็ยังจะคงอยู่ เพราะฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณไม่เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะเป็นกลางในการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้อง"นายอลงกรณ์ กล่าว
รองหัวหน้าพรรค ปชป.กล่าวว่า ทุกฝ่ายควรให้กำลังใจและสนับสนุนการทำงานของ คตส. รวมทั้งรัฐบาลและทุกพรรคการเมือง เพราะการตรวจสอบของ คตส.เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล จึงขอเรียกร้องให้ ส.ส.และ ส.ว.สนับสนุนผ่านกฎหมายต่ออายุการทำงานของ คตส.เพื่อให้การพิสูจน์ความถูกผิดในชั้นศาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
แม้จะมีการกำหนดให้ คตส.โอนคดีที่คั่งค้างไปให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ดำเนินการต่อหลังจากหมดวาระการทำงานไปแล้วนั้น การโอนคดีในอดีตเคยมีความผิดพลาดมาแล้ว เพราะ ป.ป.ช.อาจจะมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่องอำนาจการตรวจสอบทางกฎหมายที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น กรณีคดีการปกปิดโครงสร้างหุ้นบมจ.เอสซีแอทเสท ซึ่งเป็นประเด็นคอขาดบาดตาย และเป็นปมมัดที่มีคำถามมานานกว่า 7 ปี
ทั้งนี้ กรณีที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์ค และบริษัท แอมเพิล ริช ซึ่งพรรค ปชป.ได้ติดตามตรวจสอบมาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ป.ป.ช.ก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าใครคือเจ้าของบริษัทดังกล่าวที่จดทะเบียนอยู่ในหมู่เกาะบริชติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ แต่ความลับได้เปิดเผยออกมาเมื่อมี คตส.ซึ่งมีอำนาจเพียงพอในการแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งในและต่างประเทศ
--อินโฟเควสท์ โดย รฐฦ/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--