นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฝากประชาชนทั่วประเทศทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติหากเกิดความรุนแรงขึ้นจากเหตุการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศจะเคลื่อนพลมาปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล
เนื่องจากขณะนี้ประเทศชาติบอบช้ำมามากและไม่สามารถรองรับความแตกแยกได้อีกแล้ว ซึ่งแม้กลุ่มพันธมิตรฯ จะได้รับชัยชนะก็ไม่ใช่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ซึ่งในที่สุดคนที่ต้องพ่ายแพ้ก็คือประเทศชาตินั่นเอง
"สถานการณ์ของประเทศขณะนี้ ไม่สามารถรองรับความแตกแยกได้แล้ว เพราะประเทศต้องบอบช้ำมาตลอด 2 ปี อยากให้ทุกฝายระลึกถึงกระแสพระราชดำรัสของในหลวงเมื่อตอนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" นายณัฐวุฒิ กล่าว
รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า สถานการณ์ในช่วงบ่ายนี้เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยได้ แม้จะมีความอ่อนไหวอยู่บ้างจึงต้องระมัดระวังไม่ให้มือที่สามเข้ามาแทรกแซง เรื่องนี้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้กำชับไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงให้ช่วยดูแลสถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย และไม่ใช้ความรุนแรง
ส่วนกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่ม นปก.เดิมที่นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ ได้มาชุมนุมบริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงหรือกระทบกระทั่งกัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่าตำรวจหรือประชาชนถ้ามีการกระทำผิดก็จะต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน และรัฐบาลคงไม่สามารถห้ามหรือปิดกั้นการแสดงออกของกลุ่มคนที่ต่อต้านพันธมิตรฯ ได้ เพียงแต่สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องคำนึงถึงถือการไม่ใช้ความรุนแรง
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกว่า ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายสมัคร แต่ส่วนตัวแล้วเห็นว่าต้องพิจารณาว่าเสียงเรียกร้องดังกล่าวมาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเสียงเรียกร้องจากกลุ่มพันธมิตรฯ รัฐบาลคงต้องขอสงวนสิทธิ์ที่จะบริหารประเทศต่อไป เนื่องจากทุกวันนี้ก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่ารัฐบาลได้กระทำการทุจริตคอรัปชั่นตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรฯ คิดเอาเองบวกกับความชิงชังที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
กรณีที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี แนะให้นายกรัฐมนตรีลาออกนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในส่วนตัวก็เคารพความคิดของ พล.อ.ชวลิต ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสทางการเมือง แต่การจะลาออกหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งสถานการณ์ในรัฐบาลของนายสมัคร แตกต่างกับสถานการณ์ในสมัยของ พล.อ.ชวลิต ดังนั้นการพิจารณาเรื่องดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่ของประเทศที่ประชาชนได้สนับสนุนให้พรรคพลังประชาชนเข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารประเทศด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/กษมาพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--