นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้พยายามเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าแพงและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำให้เกิดความรวดเร็ว แต่มีอุปสรรคที่สำคัญคือราคาน้ำมันปรับตัวสูงอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะไปถึง 200 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลภายในสิ้นปีนี้
ที่ผ่านมาหลังจากตนเองได้ประกาศในเวทีโลกถึงท่าทีที่ชัดเจนของประเทศไทยว่าจะไม่ระงับการส่งออกข้าว และไม่ฉกฉวยโอกาสจากวิกฤติอาหารโลก ส่งผลให้มีหลายประเทศติดต่อขอซื้อข้าวจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยยอดส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-พ.ค.51) มีมากกว่า 5 ล้านตัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 50% และตั้งเป้าส่งออกทั้งปีไว้ที่ 9 ล้านตัน
"ที่ผมออกมาบอกราคาข้าวให้ชาวนารู้ เพราะไม่อยากชาวนาถูกกดราคาข้าวอีกต่อไป...มันเป็นการแหวกม่านประเพณีของรัฐมนตรีพาณิชย์ปกติที่เขาไม่ทำกัน" นายมิ่งขวัญ กล่าว
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า การที่ตนเองกล้าออกมาประกาศราคาข้าวในอนาคตนั้นมีความเสี่ยงต่ออนาคตของตัวเอง เพราะถ้าหากราคาข้าวไปไม่ถึงระดับตามที่บอกไว้ ตนเองก็พร้อมที่จะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
"ผมเอาเกียรติยศกับความเป็นนักยุทธศาสตร์ของผมเดิมพันกับคนทั้งประเทศ...ผมสงสารเขา ผมอยากตอบแทนชาวนา" นายมิ่งขวัญ กล่าว
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาราคาข้าว เนื่องจากราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก อย่างกรณีข้าวถุงธงฟ้ามหาชนที่ยกเลิกไปหลังสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่จะมีการประเมินสถานการณ์ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าว่าเป็นอย่างไร
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ได้รับผลประโยชน์จากการค้าปุ๋ยนั้น ตนเองพร้อมจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า สถานการณ์เงินเฟ้อในขณะนี้(เฉลี่ย 5.8%) ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถดูแลได้ แต่ต้องมีการปรับตัวด้านอื่นๆ เช่น ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนทั้งแก๊สโซฮอล์และก๊าซธรรมชาติ
โดยในเดือน พ.ค.51 อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามอยู่ที่ 25.2%, อินโดนีเซียอยู่ที่ 10.4%, ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 9.6%, อินเดีย 8.2%, จีนอยู่ที่ 7.7% และไทยอยู่ที่ 7.6%
--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/กษมาพร โทร.0-2253-5050 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--