ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่ามหกรรมโอลิมปิกได้กลายเป็นศูนย์รวมความสนใจทั้งมวลของประชาชนทั่วโลก ทั้งที่เป็นคอกีฬาและแฟนกีฬาขาจร เรียกได้ว่าแทบจะกลบกระแสข่าวอื่นๆเสียสนิท
แต่ ณ เวลานี้ เมื่อปักกิ่ง เกมส์ ปิดม่าน ข่าวเด่นประเด็นร้อนที่แทรกเข้ามาดึงดูดความสนใจชาวอเมริกันได้ไม่แพ้ข่าวโอลิมปิก คงจะหนีไม่พ้นความเคลื่อนไหวของการจัดประชุมระดับชาติของพรรคเดโมแครต หรือ ดีเอ็นซี ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด โดยทุกสายตาจับจ้องไปที่การประชุมสี่วันซึ่ง บารัค โอบามา มีกำหนดที่จะขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุม ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุน 80,000 คน ที่มารวมตัวกันเพื่อเป็นสักขีพยาน
นอกจากไฮไลท์ในวันสุดท้ายแล้ว การประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตยังมุ่งเน้นไปที่ความเป็นเอกภาพของพรรค ซึ่งก่อนหน้าการประชุม สมาชิกพรรคเดโมแครตและคณะที่ปรึกษาของนายโอบามาคาดหวังว่าความบาดหมางและรอยร้าวต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างการขับเคี่ยวชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคของนายโอบามาและนางฮิลลารี คลินตันในการเลือกตั้งขั้นต้น จะได้รับการเยียวยาในโอกาสนี้ แต่ความหวังดังกล่าวมีอันต้องสะดุด หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานายโอบามาได้เปิดตัวนายโจเซฟ ไบเดน วุฒิสภาชิกรุ่นเก๋าวัย 65 ปีจากรัฐเดลาแวร์ ในฐานะรันนิ่งเมท หรือ คู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ส่งผลให้เรื่องนี้บดบังบรรยากาศสมานฉันท์และกลายเป็นประเด็นร้อนในการประชุมใหญ่ของพรรคทันที เนื่องจากกลุ่มผู้สนับสนุนนางคลินตันผิดหวังและไม่พอใจที่โอบามาเลือกนายไบเดนแทนที่จะเป็นอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ โดยผู้สนับสนุนบางส่วนออกมากล่าวว่าจะไม่ลงคะแนนเสียงเลือกนายโอบามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้งวันที่ 4 พ.ย.นี้ และอาจถึงขั้นหันไปลงคะแนนให้กับนายจอห์น แมคเคน ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันแทน
ผลสำรวจของซีเอ็นเอ็นซึ่งจัดทำขึ้นในวันที่ 23 และ 24 สิงหาคม ภายหลังจากที่นายโจ ไบเดน ได้รับเลือกเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดี แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้สนับสนุนคลินตัน 66% จะหันไปเทคะแนนให้โอบามาตามที่นางคลินตันได้เคยลั่นวาจาไว้ เมื่อครั้งที่เธอประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในศึกสรรหาตัวแทนพรรคเดโมแครตที่สูสีและยืดเยื้อที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงจาก 75% ในการสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน ขณะที่ผู้สนับสนุนที่เปลี่ยนใจไปโหวตให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างคุณปู่แมคเคน วุฒิสมาชิกรัฐแอริโซน่าวัย 75 ปี ก็เพิ่มขึ้นเป็น 27% จาก 16% เมื่อสองเดือนก่อน
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า เรื่องนี้อาจกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางสู่ทำเนียบขาวของวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์วัย 47 ปีให้ต้องจบลงที่ทางตัน หากกลุ่มสมาชิกพรรคเดโมแครตที่ถือหางคลินตันไม่ให้การสนับสนุนนายโอบามา
ประเด็นร้อนนี้ยังส่งผลให้การขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ของนางคลินตันต่อหน้าบรรดาสมาชิกพรรคเดโมแครตในการประชุมวันที่สองกลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่บรรดาผู้ที่เกาะติดสถานการณ์การประชุมดีเอ็นซีอย่างเหนียวแน่น เฝ้ารอมากที่สุด พร้อมกับคาดเดากันไปต่างๆนานาว่า วุฒิสมาชิกนิวยอร์กจะกล่าวอะไรและจะช่วยให้เอกภาพของพรรคแข็งแกร่งขึ้นได้มากน้อยเพียงใด แม้แต่ที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดกับฮิลลารีที่สุดก็ยังสงสัยว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร
และแล้วดูเหมือนว่าเมฆหมอกอึมครึมที่ปกคลุมบรรยากาศการประชุมในวันแรกน่าจะเบาบางลงหรือสลายหายไปได้ไม่มากก็น้อย เมื่อนางคลินตันได้ปลุกเร้าความสมัครสมานสามัคคีภายในพรรค โดยแสดงสปิริตเรียกร้องให้ผู้ที่สนับสนุนเธอหันไปลงคะแนนให้ บารัค โอบามา ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้งปลายปีนี้ให้ได้
ท่ามกลางสมาชิกพรรคเดโมแครต คณะผู้แทนเลือกตั้งจากรัฐและเขตปกครองต่างๆทั่วสหรัฐ รวมถึงแขกผู้มีเกียรติจากต่างประเทศราว 5,000 คนที่มารวมตัวกันอยู่ ณ หอประชุมใหญ่ของพรรคในเมืองเดนเวอร์ วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์กวัย 60 ปี ได้ก้าวขึ้นเวทีอย่างองอาจและสง่าผ่าเผยในฐานะผู้สนับสนุนนายบารัค โอบามา
โดยในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์วันอังคาร นางคลินตันกล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะเคยโหวตให้ดิฉัน หรือ โหวตให้กับบารัค บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะหลอมรวมกันเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของพรรคและด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน"
“เราเป็นทีมเดียวกัน จะไม่มีใครออกนอกแถว เราจะสู้ด้วยกันเพื่ออนาคต และเราจะต้องเป็นผู้ชนะสถานเดียว" อดีตท่านผู้หญิงแห่งทำเนียบขาวกล่าว “บารัค โอบามา เป็นผู้สมัครที่ดิฉันเลือก เขาต้องได้เป็นประธานาธิบดี"
ทันทีที่เสร็จสิ้นคำกล่าว ฝูงชนที่ฟังถ้อยแถลงอย่างตั้งอกตั้งใจก็พากันส่งเสียงเชียร์ พร้อมกับยืนขึ้นปรบมือเพื่อแสดงความชื่นชมและให้การสนับสนุนเธออย่างอบอุ่น ซึ่งผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์บรรยายว่า ฮิลลารี คลินตัน ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในค่ำคืนนั้น ขณะที่ นักวิเคราะห์มองว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของนางคลินตันจะเป็นการยุติกระแสข่าวที่ว่า เธอไม่ได้อ้าแขนรับนายโอบามาเป็นตัวแทนพรรคอย่างเต็มตัวและเต็มใจ โดยชี้ให้เห็นว่าฮิลลารีเอ่ยชื่อโอบามาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งในระหว่างการกล่าวปราศรัย ซึ่งขัดแย้งกับที่พรรครีพับลิกันได้ออกแถลงการณ์โจมตีในทันทีว่า ฮิลลารี ไม่ได้พูดชัดเจนว่า บารัค โอบามา พร้อมจะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐหรือไม่
นอกจากนี้ ฮิลลารียังได้กล่าวยกย่อง โจ ไบเดน วุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์ ที่เพิ่งก้าวขึ้นเป็นรันนิ่งเมทของโอบามา และมีคิวขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าชาวเดโมแครตในการประชุมวันที่สาม โดยอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ระบุว่า นายไบเดนเป็นผู้นำชั่วโมงบินสูงที่มีความแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดหาตัวจับยาก อีกทั้งยังเน้นการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ไม่ใช่พวกที่ดีแต่กินอุดมการณ์
ณ เวลานี้ เรายังไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าสุนทรพจน์ของ ฮิลลารี คลินตัน จะช่วยผลักดันให้ บารัค โอบามา และ โจ ไบเดน ก้าวไปถึงปลายทางที่ทำเนียบขาวหรือไม่ แต่สิ่งหนี่งที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวเดโมแครตก็คือ ฮิลลารี ได้พยายามทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดแล้วในการปิดฉากศึกชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตให้สวยงามที่สุด
จากนี้ต่อไปเป็นหน้าที่ของโอบามาที่จะเดินหน้าเรียกคะแนนเสียงจากบรรดาผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยังไม่ได้ตกลงปลงใจว่าจะมอบคะแนนของตนให้ผู้สมัครคนใดในการเลือกตั้งปลายปีนี้ ตลอดจนเรียกศรัทธาจากผู้สนับสนุนเดิมและผู้ที่ลังเลคิดแปรพักตร์ โดยผลสำรวจล่าสุดของกัลลัพ ซึ่งจัดทำขึ้นในวันอาทิตย์ จันทร์ และอังคารที่ผ่านมา ปรากฏว่า คะแนนนิยมของโอบามาและแมคเคนสูสีกันมากที่ 45% และ 44% ตามลำดับ
อีก 10 สัปดาห์นับจากนี้จนถึงศึกเลือกตั้งใหญ่ 4 พ.ย.นี้ เชื่อว่าการเมืองสหรัฐคงจะร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ โดยหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต ก็จะต่อด้วยการประชุมระดับชาติของพรรครีพับลิกัน ซึ่งจะจัดขึ้นในเมืองเซนต์ พอล รัฐมินเนโซต้า ระหว่างวันที่ 1-4 กันยายน 2551 ระหว่างนี้ต่างฝ่ายก็คงจะขุดคุ้ยประเด็นที่เห็นว่าน่าจะเป็นจุดอ่อนทำลายเครดิตและคะแนนนิยมของคู่แข่งมาโจมตีกันอย่างเผ็ดร้อน
แต่คอลัมน์ IN FOCUS ขอพักสงครามน้ำลายระหว่างเดโมแครตและรีพับลิกันไว้ก่อน โดยจะขอส่งท้ายด้วยการรวบรวมประวัติย่อๆ ของ บารัค โอบามา เพื่อต้อนรับการขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยในโอกาสที่เขาจะได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตอย่างเต็มภาคภูมิในวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคมนี้ตามเวลาในสหรัฐ ก่อนที่ชายผู้นี้อาจสร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกแห่งดินแดนเสรีภาพนามสหรัฐอเมริกา
บารัค โอบามา เกิดที่รัฐฮาวายในปีพ.ศ. 2504 บิดาเป็นชาวเคนยาและมารดาเป็นชาวอเมริกันผิวขาว ทั้งสองแยกทางกันตอนบุตรชายอายุได้เพียงสองขวบ ต่อมามารดาของเขาแต่งงานกับสามีใหม่ชาวอินโดนีเซีย และย้ายไปอยู่จาการ์ตา ซึ่งที่นั่นมารดาของเขาได้ให้กำเนิด มายา น้องสาวต่างบิดา หลังจากอยู่ที่อินโดนีเซียนานสี่ปี โอบามาถูกส่งตัวกลับมาที่บ้านเกิดในฮาวายเนื่องจากมารดาของเขาต้องการให้บุตรชายได้เข้าใจและซาบซึ้งแนวคิดและความฝันแบบชาวอเมริกัน ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นที่นั่น
หลังจบการศึกษาชั้นมัธยม โอบามาได้ย้ายไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นเวลาสองปี และที่สถานศึกษาชื่อดังระดับท็อปเท็นของประเทศ อย่างมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในรัฐนิวยอร์กอีกสองปี ทันทีที่เรียนจบเขาได้มุ่งหน้าสู่ชิคาโกซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของชาวอเมริกันผิวดำ ที่นั่นเขาได้พบกับ มิเชล โรบินสัน ทนายความสาว ขณะที่โอบามาเป็นทนายฝึกหัดที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน และมีบุตรสาวด้วยกันสองคนคือ เมเลีย แอน และ นาตาชา
ในระหว่างทำงาน โอบามายังได้ตัดสินใจเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อหล่อหลอมตนเองให้พร้อมสำหรับการก้าวสู่แวดวงการเมืองในอนาคต ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อได้รับการเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ในปีพ.ศ.2539 เขารับตำแหน่งนี้อยู่ถึงแปดปี ก่อนกระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองระดับชาติด้วยการช่วยร่างปราศรัยให้ จอห์น แครี ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพรรคเดโมแครตในปี 2547 และอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของเส้นทางสายการเมืองของชายชื่อ บารัค โอบามา ซึ่งประวัติศาสตร์อเมริกันต้องจารึกในฐานะคนผิวสีคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศที่มีประวัติการเหยียดสีผิวรุนแรงเช่นนี้
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท/รัตนา โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--