องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนออกแถลงการณ์คัดค้านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากมีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 50 โดยเรียกร้องทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้นและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมทั้งให้สื่อเสนอข่าวรอบด้านไม่เข้าข้างฝ่ายใด
"องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 5 องค์กรมีความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์วิกฤติของประเทศไทยในขณะนี้ยังมีทางออกโดยใช้กระบวนการสันติวิธี และขณะนี้ภาคส่วนต่างๆ ของสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอทางออกต่อวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอย่างเข้มข้น" น.ส.นาตยา เชษฐโชติรส นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย อ่านแถลงการณ์ร่วม เรื่อง "การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน"
สำหรับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 5 องค์กร ประกอบด้วย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ, สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย
แถลงการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยมีเนื้อหามุ่งจำกัดสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 หลายประการ องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้ประชุมหารือกันแล้วมีความเห็นต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้
1.ไม่เห็นด้วยกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เนื่องจาก พ.ร.ก.ฉบับนี้มิได้ตราขึ้นโดยหลักนิติธรรม และมีเนื้อหาขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 โดยชัดแจ้ง นอกจากนี้กระบวนการในการตรากฎหมายที่ใช้รูปแบบของการออก พ.ร.ก. ซึ่งไม่ใช่กระบวนการตรากฎหมายตามปกติยังเป็นการรวบรัดและมุ่งจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ
2.แม้ว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เหตุผลและที่มาในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวถือว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะขณะนี้สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นคลี่คลายลงจนอยู่ในขั้นที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถควบคุมไม่ให้เกิดความรุนแรงได้แล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้อำนาจตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และควรยกเลิกประกาศนี้ในทันที
3.เป็นที่ประจักษ์ชัดโดยสื่อมวลชนต่างๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อกลางดึกคืนวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2551 ประกอบกับการให้สัมภาษณ์ของรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสามารถยืนยันชัดเจนได้ว่า แกนนำและ รมต.บางคนของพรรคร่วมรัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการปลุกเร้า และนำขบวนกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นการสร้างสถานการณ์ให้เลวร้าย และสร้างความชอบธรรมในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนจึงขอประณามการกระทำดังกล่าว
4.การที่เนื้อหาบางส่วนในการประกาศใช้ข้อกำหนดตามมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กำหนดห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือการทำให้เผยแพร่ ซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น ถือเป็นการขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน ตามบทบัญญัติมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 อย่างชัดแจ้ง อีกยังจะกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข่าวสารของประชาชน อันจะนำไปสู่ความรุนแรงยิ่งขึ้นของสถานการณ์ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์ทางการเมืองเมื่อสื่อมวลชนถูกปิดกั้นการเสนอข่าวสาร
5.ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความอดทนอดกลั้นและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบไม่ว่ากรณีใดๆ รวมทั้งการพยายามยั่วยุประชาชนให้ใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่ว่าจะเป็น การแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง การประกาศของแกนนำผู้ชุมนุม และการใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือโดยการนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว
6.ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังอยู่ในภาวะวิกฤติที่นำไปสู่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว อำนาจในการจัดการสถานการณ์ความไม่สงบถูกส่งผ่านไปยังกองทัพบก ดังนั้นผู้บัญชาการทหารบกจึงควรใช้อำนาจที่มีอยู่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองและไม่ฉกฉวยสถานการณ์เช่นนี้ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เพราะบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา ยืนยันแล้วว่าการรัฐประหารไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ แต่ยิ่งกลับทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ องค์กรสื่อมวลชนต่างๆ ที่มีหน้าที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารจึงควรยึดมั่นในจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัดด้วยการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประชาชนก็จะสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองได้อย่างถูกต้องในที่สุด
--อินโฟเควสท์ โดย ฐานิสร์ ทองนอก/ธนวัฏ/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--