โพลล์สำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่บลูมเบิร์กและลอส แองเจลิส ไทม์สจัดทำขึ้นล่าสุดชี้ว่า ชาวอเมริกัน 55% ไม่เห็นด้วยกับแผนการช่วยเหลือสถาบันการเงินสหรัฐของรัฐบาล และโทษว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กและประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตสินเชื่อขึ้น มีเพียง 31% เท่านั้นที่คิดว่า รัฐบาลควรจะช่วยเหลือสถาบันการเงิน
ชาวอเมริกันที่ไม่เห็นด้วยกับแผนการณ์ดังกล่าวมองว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ในการช่วยเหลือบริษัทเอกชนด้วยการนำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ แม้ว่า การล้มละลายของสถาบันการเงินเหล่านี้อาจจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศก็ตาม
นอกจากนี้ ผู้ตอบรับการสำรวจ 45% มองว่า นายบารัค โอบามา ผู้แทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐน่าจะทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาวิกฤตการเงินได้ดีกว่านายจอห์น แมคเคน ผู้แทนพรรครีพับลิกัน ขณะที่ผู้ตอบรับการสำรวจ 33% เท่านั้นที่มองว่า นายแมคเคนจะรับมือกับปัญหาได้ดีกว่าโอบามา โดยผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเกือบครึ่งหนึ่งระบุว่า พรรคเดโมแครตมีแนวคิดที่ดีกว่าพรรครีพับลิกันในเรื่องการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ
ก่อนที่สหรัฐจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีขึ้นในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ชาวอเมริกันเกือบ 80% กล่าวว่า สหรัฐกำลังเดินไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สุงที่สุดนับตั้งแต่ที่ได้มีการสำรวจความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวเมื่อปี 2543
หลังจากที่เกิดภาวะผันผวนในตลาดเงินสหรัฐจนทำให้เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง อดีตวาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐต้องล้มละลาย และทำให้เกิดการเทคโอเวอร์สถาบันการเงินสหรัฐตามมาอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ การเทคโอเวอร์บริษัทประกันอย่างเอไอจี แฟนนี เม และเฟรดดี แมค โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กล่าวว่า บริษัทไฟแนนซ์เหล่านี้ไม่ควรจะได้เงินผู้เสียภาษีไปกอบกู้กิจการแบบฉุกเฉิน
ทารา รู้ค สมาชิกพรรครีพับลิกันจากนิวเจอร์ซีย์ กล่าวแสดงความเห็นว่า ทำไมรัฐจะต้องช่วยเหลือบริษัทที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รัฐบาลเข้ามาเกี่ยวพันกับบริษัทเอกชนมากเกินไปแล้ว
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/รัตนา โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--