ปิดฉากลงไปแล้วสำหรับการโต้วาทีแสดงวิสัยทัศน์ หรือ ดีเบต ระหว่างนายโจ ไบเดน คู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของนายบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต และนางซาราห์ พาลิน คู่ชิงรองประธานาธิบดีของนายจอห์น แมคเคน ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี โดยมีสื่อมวลชนกว่า 3,100 แห่งจากทั่วโลกเข้าร่วมรับฟัง ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดดีเบตระหว่างผู้ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
ในการแข่งขันกีฬา บางครั้งม้ารองบ่อนก็ได้รับความสนใจมากกว่าตัวเต็ง ในการดีเบตครั้งนี้ก็เช่นกัน ประชาชนทั่วอเมริกันรวมถึงสื่อจากทั่วโลกต่างจับจ้องไปที่นางพาลิน วัย 44 ปี มือใหม่ทางการเมืองที่เพิ่งเป็นผู้ว่าการรัฐอลาสกาสมัยแรก โดยลุ้นว่าเธอจะสามารถทำผลงานได้ดีสมกับที่ได้รับเลือกให้ร่วมทีมสู้ศึกเลือกตั้งหรือไม่ หลังจากที่เธอได้ตำแหน่งคู่ชิงรองประธานาธิบดีมาแบบพลิกความคาดหมายด้วยการเอาชนะนายมิตต์ รอมนีย์, นายรูดี้ จูลีอานี และนายไมค์ ฮัคคาบี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักและนับหน้าถือตาในหมู่ประชาชนมากกว่าเธออยู่หลายขุม
ข้อด้อยที่เด่นชัดที่สุดของนางพาลินคือการขาดประสบการณ์ทางการเมือง โดยนางพาลินยอมรับว่าไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศนอกจากอเมริกาเหนือและไม่เคยรับแขกผู้นำต่างชาติเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนั้นเธอยังอ่อนด้อยเรื่องการแก้วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเมื่อถูกตั้งคำถามในประเด็นดังกล่าว เธอมักตอบไม่ตรงคำถามจนถูกสื่อนำไปล้อเลียน ทำให้เธอเสียเปรียบอย่างหนักเนื่องจากผู้มีสิทธิออกเสียงกำลังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่านางพาลินจะเป็นฝ่ายเดียวที่มีข้อเสีย นายไบเดนเองแม้จะได้เปรียบเนื่องจากผ่านสนามการเมืองมาอย่างโชกโชน แต่เขาก็กำลังเผชิญปัญหาด้านทัศนคติ เนื่องจากเขามักพูดจาขวานผ่าซากและดูถูกเสียดสีผู้อื่น และอาจถูกเล่นงานกรณีกีดกันทางเพศ ในขณะที่นางพาลินได้รับเสียงสนับสนุนจำนวนมากจากผู้หญิง
หลายฝ่ายเชื่อว่าการโต้คารมกับนายไบเดน วัย 65 ปี นักการเมืองรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสมานานถึง 35 ปี อาจมีความสำคัญถึงขั้นเป็นตัวชี้ชะตาของนางพาลินและนายแมคเคนเลยทีเดียว เนื่องจากการโต้วาทีนัดแรกใน 3 นัด ระหว่างนายโอบามากับนายแมคเคน เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา ยังไม่เห็นผลต่างของคะแนนนิยมมากนัก ดังนั้น ผลงานของผู้ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจวัดผลแพ้ชนะของศึกในครั้งนี้
ประเด็นเศรษฐกิจ
ทั้งนายไบเดนและนางพาลินต่างออกตัวว่าจะทำงานเพื่อชนชั้นกลาง นอกจากนั้นนางพาลินยังกล่าวเสริมว่านายแมคเคนให้ความสำคัญกับชนชั้นแรงงานด้วย พร้อมโจมตีนายโอบามาที่จะใช้นโยบายลดภาษีให้กับชนชั้นกลางและขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูง โดยให้เหตุผลว่านโยบายดังกล่าวไม่ได้ช่วยเหลือชนชั้นแรงงานแต่อย่างใด
เมื่อกล่าวถึงแผนกู้วิกฤตการเงินมูลค่ากว่า 7 แสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐ นายไบเดนยอมรับว่าแผนดังกล่าวอาจทำให้นายโอบามาต้องปรับนโยบายที่เคยรับปากไว้ว่าจะเพิ่มความช่วยเหลือต่างชาติเป็น 2 เท่า ขณะที่นางพาลินยืนยันว่านโยบายดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายหาเสียงที่เธอและนายแมคเคนเคยให้คำมั่นกับประชาชน
ประเด็นสงครามอิรัก
นางพาลินและนายไบเดนต่างมีลูกชายที่เป็นทหารและไปรับใช้ชาติในอิรัก แต่ทั้งคู่เห็นต่างกันในประเด็นดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยนายไบเดนออกตัวว่าเขาและนายโอบามาต่อต้านการทำสงครามอิรัก และเรียกร้องให้มีการถอนทหารออกจากอิรักภายใน 16 เดือน จนถูกนางพาลินตอกกลับว่า “แผนดังกล่าวถือเป็นการยกธงขาวยอมแพ้" พร้อมยืนยันว่าการส่งทหารไปยังอิรักเป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลอย่างดี
อย่างไรก็ตาม นายไบเดนโต้กลับว่า ทางพรรครีพับลีกันเองก็ไม่ได้เสนอแนวทางที่ชัดเจนในการยุติสงครามอิรักซึ่งทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตไปแล้วกว่า 4,000 นายนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2546 ในขณะที่นายโอบามาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะเปลี่ยนถ่ายอำนาจความรับผิดชอบคืนให้กับชาวอิรักภายใน 16 เดือน แล้วถอนกำลังทหารออกมาเพื่อยุติเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น
ประเด็นสิ่งแวดล้อม
คู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตและรีพับลีกันเห็นต่างกันในประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยนางพาลินเห็นว่าวัฏจักรธรรมชาติเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง แม้ว่ากิจกรรมของมนุษย์จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าว และเธอปฏิเสธที่จะโต้เถียงเรื่องสาเหตุของภาวะโลกร้อน เนื่องจากเห็นว่าการแก้ปัญหามีความสำคัญกว่า
ด้านนายไบเดนโต้ว่า หากไม่เข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนก็ไม่มีทางหาทางแก้ปัญหาดังกล่าวได้ พร้อมย้ำว่ากิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
นางพาลินกล่าวเพิ่มเติมว่า นายแมคเคนพยายามแก้ไขปัญหาโลกร้อนด้วยการสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกและการอนุรักษ์พลังงาน แต่กลับถูกนายไบเดนแย้งว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา นายแมคเคนออกเสียงคัดค้านการจัดสรรงบสนับสนุนพลังงานทางเลือกถึง 20 ครั้ง
ประเด็นสิทธิกลุ่มรักร่วมเพศ
ทั้งนายไบเดนและนางพาลิน ต่างแสดงความคิดเห็นตรงกันในประเด็นการเรียกร้องสิทธิของกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ทั้งคู่เห็นด้วยกับการให้สิทธิคุ้มครองตามกฎหมายแก่คนกลุ่มดังกล่าว โดยนายไบเดนกล่าวว่า ทุกคนไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ต้องได้รับสิทธิเท่าเทียมกันตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ไม่สนับสนุนให้รับรองการแต่งงานสำหรับคนรักเพศเดียวกัน โดยนางพาลินกล่าวว่าการแต่งงานควรเกิดขึ้นระหว่างหญิงกับชายเท่านั้น
แม้ว่าการโต้คารมระหว่างทั้งคู่จะเน้นไปที่การโจมตีอีกฝ่าย แต่ก็เป็นไปอย่างสุภาพและมีสีสัน โดยไบเดนโดดเด่นในเรื่องของความรอบรู้และความสุขุมนุ่มลึก ในขณะที่นางพาลินดูมั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง และตอบคำถามได้ดีไม่แพ้ไบเดน ซึ่งถือเป็นการลบคำสบประมาทที่หลายคนตราหน้าว่าเธอคงปล่อยไก่อะไรบางอย่างในการดีเบตครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม โพลล์ของสำนักข่าวซีบีเอสระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 70% ให้นายไบเดนเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการดีเบตครั้งนี้ ในขณะที่นางพาลินได้เพียง 30% ในขณะที่โพลล์ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเผยว่า นายไบเดนชนะการดีเบตด้วยคะแนนถึง 80% ทิ้งห่างนางพาลินที่ได้เพียง 20 %
การโต้วาทีแสดงวิสัยทัศน์ครั้งเดียวของคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐได้ผลลัพธ์ออกมาตามความคาดหมายของหลายคน แต่ศึกปะทะคารมระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลีกันยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อนายโอบามา ตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และนายแมคเคนคู่แข่งคนสำคัญจากพรรครีพับลีกัน ยังมีกำหนดปะทะฝีปากกันอีก 2 รอบ คือในวันที่ 7 ตุลาคม ที่มหาวิทยาลัยเบลมอนท์ รัฐเทนเนสซี และในวันที่ 15 ตุลาคม ที่มหาวิทยาลัยฮอฟสตรา รัฐนิวยอร์ก
ผลสุดท้ายแล้วศึกชิงตำแหน่งผู้นำของประเทศมหาอำนาจระดับโลกจะลงเอยอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป
--อินโฟเควสท์ โดย ปรียพรรณ มีสุข/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--