In Focusศึกเลือกตั้งทำเนียบขาว 08 เปิดบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ฤาประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ข่าวต่างประเทศ Monday November 3, 2008 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ช่วงนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพที่ผู้ชมทั่วสนามกำลังมองเห็นอยู่ คือ บารัค โอบามา กำลังวิ่งนำหน้าคู่แข่ง จอห์น แมคเคน ในช่วงโค้งสุดท้าย จะนำห่างหรือแบบกระชั้นชิดก็อยู่ที่มุมมองของกองเชียร์แต่ละฝ่ายที่แตกต่างกัน แต่ “ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน" ใครจะเป็นผู้วิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐยุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ชาวอเมริกันเท่านั้นจะเป็นผู้ให้คำตอบ

อย่างไรก็ดี ผู้มีสิทธิออกเสียงชาวอเมริกันเองก็ดูเหมือนว่าจะยังลังเลใจกันอยู่ เผลอๆ อาจถึงกับต้องไปตัดสินใจในคูหาขณะที่กำลังจะลงมือกากบาทกันเลยทีเดียว โดยเหตุที่หลายคนยังคิดไม่ตกว่าจะเลือกใคร (นี่ขนาดมีให้เลือกอยู่แค่ไม่กี่คน) ทั้งที่ใจหนึ่งก็อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศตามสโลแกนหาเสียง “CHANGE WE NEED" ที่นักการเมืองหนุ่มไฟแรงให้คำมั่นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก็เป็นเพราะ “ประสบการณ์" ระหว่างวุฒิสมาชิกอิลลินอยส์วัยเพียง 47 ปี ซึ่งโลดแล่นอยู่ในแวดวงการเมืองระดับประเทศน้อยนิดเมื่อเทียบกับนายแมคเคน นักการเมืองรุ่นเก๋าวัย 72 ปี ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งชาวอเมริกันยกย่องให้เป็น “วีรบุรุษ" ในฐานะอดีตเชลยศึกสงครามเวียดนาม ซึ่งจุดอ่อนในข้อนี้ของนายโอบามาถูกนายแมคเคนพยายามนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อลมหายใจให้กับตนเองในระหว่างการแข่งขันเพื่อดึงคะแนนเสียงมาโดยตลอด

แต่นอกเหนือจากเรื่องประสบการณ์แล้ว จุดแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างผู้สมัครทั้งสองที่ไม่มีใครในทีมหาเสียงของนายแมคเคนกล้าที่จะหยิบมาใช้เป็นข้อได้เปรียบเพื่อโจมตีคู่แข่ง ก็คือประเด็นเรื่อง “สีผิว" นั่นเอง

ประเด็นเรื่อง “สีผิว" อาจกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ โอบามา ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน (พ่อเป็นชาวเคนย่า-แม่เป็นชาวอเมริกันผิวขาว) มีอันต้องสะดุดหกล้ม และปล่อยให้คู่แข่งวิ่งแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปอย่างน่าเสียดาย

แผนลอบสังหาร คลื่นใต้น้ำ จากอดีตสู่ปัจจุบัน

เป็นธรรมดา เมื่อมีคนรัก ก็ย่อมมีคนเกลียด ขณะที่ชาวอเมริกัน หรือแม้แต่คนต่างชาติต่างภาษา ตื่นเต้นที่จะได้เห็นสหรัฐอเมริกามีผู้นำประเทศเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้สหรัฐเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและเสมอภาคดังขนานนามได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้โอบามาได้พิสูจน์ความสามารถในการบริหารประเทศ เพียงเพราะ “สีผิว" ที่แตกต่าง

โดยก่อนการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตที่เมืองเดนเวอร์ เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระทึกเล็กน้อย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองออโรรา รัฐโคโลราโด สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย 4 คน พร้อมอาวุธปืนไรเฟิล กล้องติดปืน กระสุนจำนวนมาก เสื้อเกราะ และยาบ้า ซึ่งจากการสอบปากคำและสอบประวัติ พบว่า ผู้ต้องสงสัย 2 ใน 4 คนนี้เป็นสมาชิกกลุ่มเหยียดสีผิวต่อต้านคนดำซึ่งเคยต้องคดียาเสพติด และสารภาพว่าอาวุธเหล่านี้จะใช้สำหรับแผนสังหารนายโอบามา

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา มีการพบหุ่นจำลองนายโอบามาถูกแขวนคอกับต้นไม้ในมหาวิทยาลัยเคนตักกี โดยเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้มีแนวคิดเหยียดสีผิว

และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เอฟบีไอสามารถทำลายแผนลอบสังหารนายโอบามา โดยรวบตัว 2 หนุ่มสกินเฮด ซึ่งเตรียมก่อเหตุสังหารหมู่โรงเรียนคนผิวดำในรัฐเทนเนสซีนับร้อยคน รวมถึงไล่ประกบยิงผู้สมัครจากเดโมแครตอย่างอุกอาจ โดยผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมได้นี้เป็นพวกคลั่งลัทธินาซีใหม่ (Neo-Nazi) ซึ่งเกลียดชังคนผิวดำ ยิว เอเชีย คนต่างชาติต่างภาษา ไปจนถึงคนต่างศาสนา

ทั้งนี้ แม้แผนการลอบสังหารที่ถูกสกัดกั้นได้ดูจะเป็นฝีมือของพวกอ่อนหัด แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นภัยเงียบที่ก่อตัวขึ้นประดุจคลื่นใต้น้ำ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มหวั่นว่าศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2008 ที่วาดฝันกันว่าจะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ อาจต้องจบลงโดยที่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งกับผู้นำในอดีตที่ผ่านมา

นับย้อนไปเมื่อกว่า 150 ปีก่อน ตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมือง (Civil War) สมัยประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น เจ้าของวลี “government of the people, by the people, for the people" (รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน) อันโด่งดังและเป็นนิยามของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมาจนถึงทุกวันนี้ ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาผู้นี้ได้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้ทาส ซึ่งเป็นคนผิวดำที่อพยพมาจากแอฟริกา หมดสิ้นไปจากสังคมอเมริกัน ผลปรากฏว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีลินคอล์นเป็นฝ่ายชนะ มีการระบุในรัฐธรรมนูญว่าการใช้แรงงานทาสเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่เสรีภาพของทาสเหล่านั้นกลับต้องแลกมาด้วยชีวิตของท่านเอง เมื่อการประกาศเลิกทาสได้ไปขัดผลประโยชน์ของกลุ่มผู้มีอำนาจและชนชั้นผู้มีฐานะทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา จนเป็นเหตุให้เกิดคดีลอบสังหารครั้งสำคัญอันเป็นรอยด่างของประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ

การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของคนผิวสีในสหรัฐกลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อ โรซ่า พาร์คส หญิงผิวดำในเมืองมอนต์โกเมอรี รัฐอัลบามา ถูกจับกุมด้วยข้อหาไม่ยอมสละที่นั่งบนรถโดยสารที่มีการแบ่งแยกสีผิวให้กับคนผิวขาว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้จุดปะทุให้เกิดการต่อสู้เรียกร้องสิทธิพลเมืองและความเท่าเทียมกันทางสังคม ซึ่งมีดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง นักเทศน์ผิวดำในนิกายแบ็พทิสต์ เป็นผู้นำการประท้วงโดยสันติวิธี หรือ วิธี “อหิงสา" ซึ่งมีต้นแบบมาจากมหาตมะ คานธี จนในที่สุดรัฐอลาบามาต้องยกเลิกการแบ่งแยกสีผิวบนรถโดยสาร และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับประเทศเมื่อประธานาธิบดี ลินคอน จอห์นสัน ลงนามในกฎหมายด้านสิทธิพลเมืองในปี 1964 นอกจากนี้ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิงยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีเดียวกันด้วย อย่างไรก็ตาม โศกนาฏกรรมอันเป็นฝันร้ายของชาวอเมริกันผิวดำ หรือทุกผู้ทุกนามที่มีจิตใจรักในความเสมอภาค ก็ได้อุบัติขึ้นในอีก 4 ปีต่อมา เมื่อดร.คิงต้องพบจุดจบคล้ายกับมหาตมะ คานธี โดยถูกลอบสังหารจากระเบียงของโรงแรมที่พักในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี ซึ่งดร.คิงได้เดินทางไปเทศน์เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ

หลังจากนั้นยังคงมีผู้พยายามก่อเหตุลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอีกหลายต่อหลายครา ทั้งที่ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ โดยมีมูลเหตุมาจากความพยายามของท่านเหล่านี้ในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เจ้าของวาทะ "Ask not what your country can do for you-ask what you can do for your country." (จงอย่าถามว่า ประเทศชาติจะให้อะไรกับคุณ แต่จงถามว่า คุณจะให้อะไรกับประเทศชาติ) และเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เมื่อรัฐบาลกลางสหรัฐในสมัยของท่านประกาศให้วันจันทร์ที่สามของเดือนมกราคมของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ Martin Luther King Jr. Day หลังจากที่มีประชาชนกว่า 6 ล้านคนร่วมกันลงชื่อเสนอเรื่องดังกล่าวจนผ่านรัฐสภา

คำทำนายจากหมอดู

นอกจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดความหวั่นเกรงว่าอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ในแง่ของโหราศาสตร์เองนั้น ก็จุดความหวาดกลัวในประเด็นนี้เช่นกัน โดยนายราช กุมาร ชาร์มา หมอดูชื่อดังชาวอินเดียจากเมืองมุมไบ ทำนายว่า นายโอบามา จะเป็นผู้คว้าชัยในการเลือกตั้งวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้อย่างขาดลอยถึง 10% เพราะดูจากปัจจัยแวดล้อม ประกอบกับการโคจรของดวงดาวที่ชี้ชัดว่า นายแมคเคน จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หมอดูแดนภารตะรายนี้ยังได้ทิ้งท้ายเกี่ยวกับดวงชะตาของนายโอบามาเอาไว้อย่างน่าสะพรึงกลัวว่า เขาจะมีเคราะห์หนักในช่วงปี 2010-2011 โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน — 16 พฤษภาคม 2010 เนื่องจากดาวอาทิตย์ที่อ่อนกำลังได้เคลื่อนเข้าสู่ราศีของนายโอบามา ซึ่งหมายความว่านายโอบามาอาจมีอันตรายถึงชีวิต และมีโอกาสรอดเพียง 25% เท่านั้น

สำหรับบทสรุปของการเลือกตั้งประธานาธิบดียุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นี้จะออกหัวหรือออกก้อยก็ยังไม่มีผู้ใดทราบได้ บารัค โอบามา จะได้รับการจารึกชื่อในฐานะประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศที่มีประวัติการเหยียดสีผิวรุนแรงแห่งนี้ หรือ จอห์น แมคเคน จะเป็นม้าตีนปลายวิ่งแซงเข้าเส้นชัย พร้อมผงาดครองตำแหน่งประธานาธิบดีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ ....

.... 4 พฤศจิกายนนี้คงจะได้รู้กัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ