แกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 12 คน มอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้องกลับ นพ.เหวง โตจิราการ และพวกรวม 7 คน ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ร้องทุกข์กล่าวโทษข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 และ 173
โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา จำเลยได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ต.จตุพร งามสุวิชากุล พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับโจทก์ทั้ง 12 คน ในความผิดอาญาข้อหากระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับระบบขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สาธารณะ โดยการกระทำนั้นมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำผิดฐานก่อการร้าย ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1(2)
สำหรับจำเลยทั้ง 7 คน ประกอบด้วย นพ.เหวง, นพ.สันต์ หัตถีรัตน์, นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ, นายประสิทธิ์ ค่ายกนกวงศ์, นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์, นายทรงชัย วิมลภัตรานน์ และนางสุนันทา ธรรมธีระ
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้เป็นการก่อการร้าย เนื่องจากการก่อการร้ายต้องเป็นการทำลายระบบขนส่งสาธารณะโทรคมนาคม ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าการปิดสนามบินไม่เป็นการก่อการร้ายแต่ยังไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จ และหาก นพ.เหวง ไปให้การเท็จกับพนักงานสอบสวนอีก เมื่อได้หลักฐานแล้วก็จะมาฟ้องที่ศาลอาญาต่อไป
นอกจากนี้ จะทำหนังสือไปถึงรักษานายกรัฐมนตรี, รักษาการ รมว.มหาดไทย, รักษาการ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.เพื่อชี้แจงว่า สิ่งที่บุคคลเหล่านี้ไปแจ้งความไม่ได้เป็นความผิดการก่อการร้าย หากพนักงานสอบสวนหรือบุคคลใดยังยืนยันที่จะดำเนินคดีต่อไปหรือไปแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ให้ตรวจสอบผู้ประกอบการที่บริจาคเงินให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ตนก็จะดำเนินการฟ้องร้องเช่นกัน