นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า แม้รัฐบาลจะมีเสียงสนับสนุนปริ่มน้ำแต่เชื่อว่าเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองสามารถบริหารจัดการได้และถือว่าเสถียรภาพของรัฐบาลนิ่งพอที่จะทำงานได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญเมื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะถือเสียงที่ไม่ไว้วางใจเป็นหลัก คือต้องไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดการเมืองในปีนี้น่าจะอยู่ที่ผลของการบริหารงานเรื่องเศรษฐกิจและสังคมมากกว่า เพราะต้องยอมรับว่าในครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบแรงมากจากเหตุการณ์หลายอย่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันปัญหาความแตกแยกที่เห็นมาตลอดปี 51 คงไม่สามารถหายไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหน้าที่ของตนและรัฐบาลโดยตรงที่จะต้องบริหารจัดการไม่ให้มาสร้างปัญหาทางการเมือง ดังนั้นขอยืนยันว่าปัญหาภายในรัฐบาลขณะนี้ไม่ควรเป็นปัจจัยที่เป็นปัญหาต่อการทำงาน
"ในวิถีทางรัฐสภา ผมในฐานะหัวหน้าพรรคและยังมีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นหรือเพื่อน ส.ส.ในสภา ก็ต้องมาแก้ไขปัญหาในการรวบรวมเสียงข้างมากในการที่จะเดินหน้าต่อไป คิดว่าเรื่องสำคัญกว่าคือปัญหาของประชาชน ถึงมีเสียงข้างมากแต่ถ้าไม่สามารถทำให้เงื่อนไขในสังคมหมดไป ก็อยู่ไม่ได้ ในทางกลับกันเสียงที่น้อยหรือเสียงปริ่มน้ำอย่างที่ว่า แต่ถ้าการทำงานดี ผมยังมั่นใจว่ายังเป็นหลักประกันที่ดีกว่าสำหรับรัฐบาล" นายกรัฐมนตรี กล่าว
อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลทำงานเต็มที่แล้วแต่ยังถูกกดดันจะเป็นเหตุให้ตัดสินใจยุบสภาหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ของบ้านเมือง หากมีความเหมาะสมเพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมืองก็ต้องถือว่ามาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะหากเข้ามาทำงานแล้วทำไม่ได้ก็ไม่ควรที่จะทำต่อ โดยเรื่องนี้ได้บอกกับคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ซึ่งจะเป็นตัวกดดันรัฐมนตรีเองในการทำงาน
พร้อมยืนยันว่าหากมีรัฐมนตรีคนใดปฏิบัติไม่ถูกต้อง ก็พร้อมที่จะปรับออก เพราะหากไม่ปรับ ในที่สุดเสถียรภาพของรัฐบาลก็ต้องมีปัญหา ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นกติกาที่ได้พูดคุยกันตั้งแต่วันแรกที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว