นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง เปิดเผยว่า ช่วงอยู่ในตำแหน่งรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งยอมรับว่าได้มีการนำเงินคงคลังไปใช้ถึง 170,000 ล้านบาทจริง แต่ได้นำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยส่วนหนึ่งได้นำไปใช้ตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน และรัฐบาลมีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและบางส่วนมีการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเงินคงคลังที่ใช้ไปจนเหลือ 52,878 ล้านบาทในเดือน ธ.ค. 51 ถือเป็นระดับที่ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง คงเข้าใจดี
"อยากจะชี้แจงว่า รัฐบาลชุดที่แล้ว ไม่ได้ผลาญเงิน แต่เงินที่ใช้ก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ...ยอมรับว่าใช้เงินไป 170,000 ล้านบาทจริง แต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ..อยากจะให้คุณกรณ์(รมว.คลัง)ไปสอน ส.ส.ในพรรคด้วยว่า ที่พูดไม่รู้หลักเศรษฐศาสตร์จริง" นายสุชาติ กล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 วาระ 2 และ 3 นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ และ รองประธานคณะกรรมาธิการ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 52 ระบุว่า รัฐบาลชุดที่แล้ ได้ทำให้เงินคงคลังหายไปกว่า 170,000 ล้านบาท ช่วง ต.ค.-ธ.ค.51
นายสุชาติ กล่าวว่า ฐานะเงินสดของรัฐบาล ช่วง ต.ค.-ธ.ค.51 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 275,337 ล้านบาท แต่มีรายจ่ายจากปีงบประมาณ 51 และ ปี 52 รวม 404,340 ล้านบาท ทำให้ดุลงบประมาณขาดดุล 129,003 ล้านบาท และเมื่อรวมดุลนอกงบประมาณที่ขาดดุลอีก 79,130 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 208,133 ล้านบาท แต่มีการกู้ชดเชยขาดดุล 40,000 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังการกู้เงิน ขาดดุล 168,133 ล้านบาท
อดีต รมว.คลัง ยังกล่าววิจารณ์ นโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการแจกเงิน 2,000 บาทเพื่อช่วยค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยว่าเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ถูกต้อง เป็นนโยบายที่พยายามเลียนแบบจากต่างประเทศ แต่เป็นการแจกเงินโดยไม่เกิดคุณค่าและอาจกลายเป็น Moral Hazard ได้ เพราะนอกจากไม่ทำให้เกิดการจ้างงานแล้ว ผู้ที่ได้เงินอาจเก็บไว้หรือชำระหนี้ ดังนั้น ภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำรัฐบาลควรใช้เงินเพื่อทำให้เกิดการจ้างงานมากกว่า
ทั้งนี้ ได้เสนอแนะว่ารัฐบาลควรเพิ่มวงเงินการจัดทำงบกลางปีจาก 1 แสนล้านบาท เป็น 5 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มวงเงินรายจ่ายชดเชยรายได้จากภาคการส่งออกที่จะสูญเสียไป 7 แสนล้านบาท การท่องเที่ยวหายไป 3 แสนล้านบาท แม้จะมีการนำเข้าน้อยลง 5 แสนล้านบาทก็ตาม โดยรัฐบาลไม่ควรกังวลว่าจะทำให้หนี้สาธารณะสูงเกินกว่า 50%ของจีดีพี เพราะในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ก็มีหนี้สาธารณะสูงถึง 200%