นายกรัฐมนตรี ระบุรัฐบาลจะพยายามดูแลให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ขยายตัวเป็นบวกให้ได้ และแก้ไขปัญหาการว่างงานไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงมากนักจนลุกลามกลายเป็นวิกฤติทางสังคมและการเมือง พร้อมทั้งเชื่อมั่นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทยอยประกาศใช้จะทำให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง
"ผมคงพูดไม่ได้ว่าสิ้นปีนี้ตัวเลข(จีดีพี)สุดท้ายคืออะไร แต่เป้าหมายรัฐบาลจะรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในแนวบวก รวมถึงจะบรรเทาดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตกงาน นอกจากนี้วิกฤติในขณะนี้จะดูแลไม่ให้เปลี่ยนเป็นวิกฤติทางสังคม และจะไม่ให้ส่งผลกลายเป็นวิกฤติทางการเมือง" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงาน"ฟื้นเศรษฐกิจไทยใต้เงาเศรษฐกิจโลก"
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ประกาศไว้คาดว่าภายในเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้จะเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ และประชาชนที่ได้รับการจัดสรรความช่วยเหลือจะมีการใช้จ่ายจริง ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจในวันที่ 18 ก.พ.นี้ จะมีการกำหนดรูปแบบที่ชัดเจนในการมอบเงินช่วยเหลือ 2 พันบาทให้กับประชาชนที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในระยะยาวรัฐบาลเตรียมที่จะกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่ง รมว.คลังจะเป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดว่าจีดีพีในไตรมาสสุดท้ายของปี 51 จะติดลบ 3% และในไตรมาสแรกของปีนี้จะพยายามให้ตัวเลขจีดีพีติดลบน้อยกว่า 3% หรือขยายตัวในแดนบวก ส่วนช่วงครึ่งปีหลังหากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ออกมาได้ผลเป็นรูปธรรมก็คาดว่าจีดีพีทั้งปี 52 จะอยู่ในแดนบวก
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลจะชี้แจงข้อเท็จจริงทุกเรื่องให้ประชาชนรับรู้โดยไม่มีการปิดบัง สำหรับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นผลมาจากปัจจัยจากต่างประเทศ ไม่ใช่ปัจจัยจากในประเทศ ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาจึงไม่สามารถที่จะไปพึ่งพาเศรษบกิจของประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐ หรือจีนได้