ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภาเพื่อขอถอดถอนรัฐมนตรี 5 คนออกจากตำแหน่ง ประกอบด้วย นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง, นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง, นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ, นายชวรัตน์ ชาญวีระกุล รมว.มหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย
เนื่องจากมีการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยมีการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป
หนังสือเสนอถอดถอนรัฐมนตรี ระบุว่า นายประดิษฐ์ มีพฤติการณ์กระทำผิดร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยการไม่เปิดเผยการรับเงินบริจาคของพรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายกรณ์ มีพฤติการณ์กระทำผิดร่วมกับนายอภิสิทธิ์ ด้วยการร่วมร้องขอให้บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย คือ ทรูมูฟ, เอไอเอส และดีแทค ส่ง SMS คำพูดของนายอภิสิทธิ์ไปยังผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งผลให้บริษัทผู้ให้บริการมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นหลายล้านบาท
นายกษิต มีการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยได้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้เมื่อรับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศแล้ว ยังปล่อยให้ประเทศกัมพูชาทำถนนรุกล้ำเข้ามายึดครองพื้นที่ของไทยเป็นทางขึ้นไปปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่รักษาไว้ซึ่งดินแดนของประเทศจนทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรตกไปอยู่ภายใต้อธิปไตยของต่างประเทศ
นายชวรัตน์ ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายในการโอนย้าย แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นที่ปรากฎว่ามิได้ยึดหลักกฎหมาย ความรู้ความสามารถ แต่เป็นการเข้าแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นอกจากนี้ยังใช้โอกาสในระหว่างที่ปฏิบัติราชการใน จ.อุดรธานี ด้วยการอาศัยฐานะที่นายชวรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้สั่งการให้แจกใบสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทยแก่ประชาชนที่มารอต้อนรับ ซึ่งถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ
นายบุญจง ได้ก้าวก่ายแทรกแซงการบริหารงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง รวมถึงได้ยอมให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งราชการเข้าไปแทรกแซงการจัดงบประมาณในส่วนของเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
ขณะที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า หลังจากที่ฝ่ายค้านได้ยื่นหนังสือเพื่อขอถอดถอนนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้ง 5 คนแล้ว จะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลภายใน 15 วัน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะเร็วกว่านั้น โดยคาดว่าจะสามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทันภายเดือน มี.ค.นี้
ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า หลังจากที่ฝ่ายค้านยื่นหนังสือเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว จะได้มีการตรวจสอบข้อมูลรายชื่อและเอกสารทั้งหมดตามขั้นตอน คาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 7 วัน หากไม่มีข้อที่ต้องนำกลับไปแก้ไขก็จะบรรจุเป็นวาระเร่งด่วน พร้อมกับแจ้งต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายให้ได้รับทราบต่อไป
ส่วนจะทันกรอบเวลาในวันที่ 25-26 มี.ค.หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่าเมื่อสภาฯ บรรจุญัตติดังกล่าวเป็นวาระเร่งด่วนแล้ว รัฐบาลจะมีความพร้อมชี้แจงได้ทันตามกำหนดเวลาดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งความน่าจะเป็นไปได้อาจจะเปิดอภิปรายได้ราวปลายเดือน มี.ค.หรืออย่างช้าต้นเดือน เม.ย.