ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำการอภิปรายของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เปิดประเด็นกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กระทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ฐานไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) อย่างตรงไปตรงมา มีบทลงโทษถึงขั้นยุบพรรค
นอกจากนี้ยังแจ้งบัญชีทรัพย์สินไม่ตรงกับยอดที่ได้รับบริจาคจริง มีบทลงโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับ 3 เท่าของเงินที่ได้รับบริจาค หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นเหตุให้ศาลสามารถสั่งถอนสิทธิเลือกตั้งของนายอภิสิทธิ์ 5 ปีได้
"ถ้าพรรค(ประชาธิปัตย์)ถูกดำเนินคดี และถูกยุบ นายอภิสิทธิ์ ก็ลงเลือกตั้งไม่ได้ เมื่อไม่มีชื่อนายอภิสิทธิ์ ลงสมัคร ส.ส. และเป็น ส.ส.ไม่ได้ ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม แจกแจงเส้นทางเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 263 ล้านบาทจากบริษัทมหาชน ซึ่งผ่านมาทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด และมีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย 4 กลุ่ม คือ กลุ่มนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ สมัยที่เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์, กลุ่มนายนิพนธ์ บุญญามณี สมัยที่เป็นรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์, นายประจวบ สังข์ขาว และนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โดยเส้นทางเงินดังกล่าวมีการจ่ายเช็ครวม 27 ฉบับ นำเข้าธนาคาร 75 ครั้ง ใช้ระยะเวลาดำเนินการรวม 84 วัน
"นายประดิษฐ์และน้องชาย ใช้เมซไซอะฯเป็นเครื่องมือ สมคบบริษัทเอกชนเอาเงินตลาดหลักทรัพย์มาใช้ ผมกล่าวหาท่านนายกฯ ว่าต้องรู้ว่าพวกท่านได้ทำผิดฐานฉ้อราษฎร์ และพรรคประชาธิปัตย์มีพฤติกรรมบังหลวงจากเงินชาวบ้าน ถ้าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเอาเงินชาวบ้านมาใช้ ต้องเอาปี๊บคลุมหัว"ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การฉ้อราษฎร์ครั้งนี้เป็นการเอาเงินจากบริษัทมหาชนที่ผ่องถ่ายมาจากคนที่ไม่เต็มใจ เหตุที่ไม่มีใครร้องทุกข์ เพราะเขาไม่รู้ ซึ่งคนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีส่วนเสียหายควรจะแจ้งจับบริษัทมหาชนดังกล่าวทันที อย่าไปเกรงกลัว