แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ประกาศนัดรวมพลใหญ่อีกครั้งในวันที่ 9 เม.ย.52 เพื่อหวังเผด็จศึกโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตยและขับไล่รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กลุ่ม นปช.เปิดถนนและเส้นทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ตลอดจนงดใช้เครื่องขยายเสียงในเวลาราชการ
"เราต้องการให้เสร็จศึกก่อนสงกรานต์ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือหนึ่งต้องโค่นล้มอำมาตยาธิปไตยคือการโค่น พล.อ.เปรม ในฐานะหัวหน้าอำมาตยาธิปไตย และสองรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต้องออกไป หากได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเราก็จะไม่หยุดการชุมนุม เนื่องจากรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นเพียงแค่จิ๊กซอว์เล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น แม้จะเปลี่ยนตัวนายกฯ กี่คน ถ้ามี พล.อ.เปรม ปัญหาบ้านเมืองก็จะไม่มีทางจบสิ้นได้ เพราะคือหัวหน้านายกฯ ใครไม่ตอบสนองก็จะให้ทหารไปยึดอำนาจ"นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช.กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า หลังงานกาชาดเสร็จสิ้นลง กลุ่มเสื้อแดงจะนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง คาดว่าจะเป็นวันที่ 9 เมษายน โดยระดมประชาชนจากทั่วประเทศมาร่วมชุมนุมมากกว่านี้หลายเท่า
"เราต้องการคนเต็มลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนราชดำเนินกลางให้ล้นทะลักไปถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ เนื่องจากเป้าหมายสูงสุดของการชุมนุมครั้งนี้อยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์กับทำเนียบฯ แต่ไม่ใช่การหยุดชุมนุมเพื่อนัดชุมนุมใหญ่ การชุมนุมแต่ละวันยังคงดำเนินต่อไป แต่จะระดมเพิ่มหลังเสร็จงานกาชาด" นายจตุพร กล่าว
แกนนำ นปช.เชื่อว่า ในวันที่ 9 เม.ย.จะมีประชาชนเดินทางมาร่วมชุมนุมมากพอตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพราะจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนเสื้อแดงออกไปแสดงพลังที่ศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง
"เราเชื่อว่าถ้าระดมคนทั้งหมดนี้เข้ามาก็จะมากพอ ตอนนี้ได้พูดจากับนักการเมืองที่เป็นพรรคพวกกันขอให้อำนวยความสะดวกกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะตอนนี้เราเปิดหน้าสู้กันแล้ว ถ้าเราไม่ระดมก็เหมือนรอวันตาย ถ้าหลังสงกรานต์ยังไม่ได้ตามข้อเรียกร้องก็จะสู้ต่อ" นายจตุพร กล่าว
ส่วนแนวทางการถวายฎีกานั้นจะเป็นมาตรการสุดท้าย เพราะหากถวายฎีกาไปแล้วจะต้องรอพระราชวินิจฉัย ซึ่งจะเป็นการล็อคตัวเองไม่ให้สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ขณะนี้กลุ่ม นปช.ต้องการสื่อไปยัง พล.อ.เปรม และคนแวดล้อมให้ได้สำนึก ถ้าแสดงความรับผิดชอบโดยไม่ให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทจะได้จบง่ายขึ้น
แกนนำกลุ่ม นปช.กล่าวว่า หลังจากนี้จะไม่ให้มีกำลังทหารประจำการอยู่ในทำเนียบฯ สับเปลี่ยนกำลังกันอีก เพราะมีข่าวว่ากำลังพลส่วนหนึ่งเป็นของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยเฉพาะพลแม่นปืน ซึ่งอาจเป็นผลร้ายต่อผู้ชุมนุมได้ และมองว่าทหารที่มาใหม่ขาดความเข้าใจต่อผู้ชุมนุม เพราะถูกล้างสมองให้เกลียดผู้ชุมนุม
และช่วงค่ำวานนี้ ศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้นายวีระ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.เปิดเส้นทางการจราจรในถนนลูกหลวงตั้งแต่แยกเทวะกรรมจนถึงสะพานชมัยมรุเชฐ และให้เปิดประตูทำเนียบประตูที่ 6 และ 8 เพื่อให้ข้าราชการ และผู้มามาติดต่อราชการนำรถยนต์เข้าออกได้สะดวก
พร้อมทั้งห้ามใช้เครื่องขยายเสียงในระดับที่ไม่รบกวนการทำงานภายในทำเนียบฯ ช่วงตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ โดยให้มีผลทันที
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากนายจาตุรงค์ ปัญญาดิลก รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นฟ้องแกนนำกลุ่ม นปช.ทั้งสามคนร่วมกันเป็นจำเลยเรื่องละเมิด โดยยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยหลังจากศาลมีคำสั่งแล้ว นายวีระ ได้ระบุว่าในวันนี้ทนายความกลุ่ม นปช.จะไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเคยมีกรณีตัวอย่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในอดีตอยู่แล้ว