เอแบคโพลล์ เผยค่าความสุขมวลรวมของประชาชนภายในประเทศ(Gross Domestic Happiness:GDH) ในเดือน มี.ค.52 อยู่ที่ 6.18 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5.78 ในเดือน ก.พ.52 โดยความสุขของประชาชนต่อปัจจัยต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นในทุกกลุ่ม ยกเว้นปัจจัยต่อความเป็นธรรมในสังคมและบรรยากาศด้านการเมือง หลังหันมาใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
"กลุ่มประชาชนที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียงมีโอกาสที่จะมีความสุขมากสูงสุด 17.61 เท่า มากกว่ากลุ่มคนที่ใช้ชีวิตแบบไม่พอเพียง" นายนพดล กรรณิการ์ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน(Academic Network for Community Happiness Observation and Research, ANCHOR) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ระบุในเอกสารเผยแพร่
ผลสำรวจพบว่า ความสุขของประชาชนต่อความจงรักภักดีอยู่ที่ 9.17 เพิ่มขึ้นจาก 9.05, ความสุขด้านบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 8.67 เพิ่มขึ้นจาก 7.24, ด้านวัฒนธรรมประเพณี สิ่งที่ดีงามในสังคมไทยอยู่ที่ 8.12 เพิ่มขึ้นจาก 5.74, ด้านสุขภาพกายอยู่ที่ 7.97 เพิ่มขึ้นจาก 6.98, ด้านสุขภาพใจอยู่ที่ 7.94 เพิ่มขึ้นจาก 6.83
ด้านสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยอยู่ที่ 7.58 เพิ่มขึ้นจาก 6.23, ด้านการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อยู่ที่ 6.45 เพิ่มขึ้นจาก 5.99, ด้านบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในชุมชนอยู่ที่ 6.43 เพิ่มขึ้นจาก 5.81, ด้านสภาวะเศรษฐกิจของตนเองและครอบครัวอยู่ที่ 5.76 เพิ่มขึ้นจาก 4.69 และด้านความสุขของประชาชนต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศอยู่ที่ 4.96 เพิ่มขึ้นจาก 3.95
ขณะที่ความสุขของประชาชนด้านความเป็นธรรมในสังคมอยู่ที่ 5.79 ลดลงเล็กน้อยจาก 5.80 และความสุขต่อบรรยากาศทางการเมืองอยู่ที่ 4.48 ลดลงจาก 4.53
ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ ความเป็นธรรมในสังคม บรรยากาศทางการเมือง และสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เพราะกลุ่มปัจจัยเหล่านี้เกินขอบเขตความสามารถของปัจเจกชนทั่วไปจะควบคุมบริหารจัดการได้เพียงลำพัง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าใครหรือคนกลุ่มใดจะเป็นผู้เสริมสร้างหรือทำลายดัชนีความสุขมวลรวมของประชาชน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน ได้ทำการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนใน 18 จังหวัดของประเทศ จำนวน 2,603 คน ระหว่างวันที่ 1-8 เม.ย.ที่ผ่านมา