นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้เซ็นลงนามในคำสั่งยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 6 จังหวัดแล้ว ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป เนื่องจากการประเมินสถานการณ์ของหน่วยงานด้านความมั่นคงพบว่าเหตุการณ์ได้เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติจนสามารถใช้กฎหมายปกติเข้ามาดูแลบ้านเมืองได้ตามเดิมแล้ว
"มีการตัดสินใจลงนามในประกาศภาวะฉุกเฉินในยกเลิกไปตั้งแต่เที่ยงวันนี้ ซึ่งอำนาจต่างๆ ตาม พ.ร.ก.ก็จะยกเลิกไปด้วย แต่จุดไหนที่ยังหวั่นวิตก ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ความขัดแย้งในสังคมขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายควรจะหันหน้าเข้าหากัน พร้อมเชื่อว่าหลังจากมีการตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบปัญหาและความคลางแคลงใจต่างๆ ที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งทางฝ่ายนิติบัญญัติจะเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องนี้แล้ว เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจการทำงานของรัฐบาลมากขึ้น ส่วนการออกกฎหมายเพื่อดูแลการชุมนุมในที่สาธารณะนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อวางกรอบอำนาจหน้าที่และให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้เป็นบรรทัดฐานในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมได้
อนึ่ง รัฐบาลได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. หลังเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในกรุงเทพฯ จากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ซึ่งจนถึงวันนี้รวมระยะเวลาการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งสิ้น 13 วัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี แต่สิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการต่อจากนี้ไปคือ การเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนเรื่องทางการเมืองนั้น ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นอีกเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ โดยขณะนี้ยังอยู่หว่างการรอรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า คงไม่สามารถระบุได้ว่าอายุการทำงานของรัฐบาลจะอยู่ถึงปีหน้าหรือไม่ เพราะหากประกาศออกไปก่อนอาจจะนำไปสู่เงื่อนไขความขัดแย้งได้อีก ขณะที่การยุบสภานั้นรัฐบาลจะพิจารณาตามสถานการณ์ที่เหมาะสม แต่คงยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นเมื่อใด
"ผมก็ทำหน้าที่ของผมอย่างดีที่สุด ซึ่งสังคมก็อยากจะเห็นบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ถ้ามากำหนดกฎเกณฑ์ว่ารัฐบาลต้องอยู่หรือไม่อยู่ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหากประกาศไปก็จะเป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่ความขัดแย้งได้อีก...ถ้าจะตัดสินใจทางการเมือง ผมไม่ได้บอกว่าจะเป็นปีนี้หรือปีหน้า หากมีความจำเป็นต้องตัดสินใจทางการเมือง ก็จะตัดสินใจตามสถานการณ์ที่เหมาะสม" นายกรัฐมนตรี กล่าว