นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูปการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ได้กำหนดให้คณะอนุกรรมการทั้ง 3 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง, คณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความสมานฉันท์ทางการเมืองของสังคมไทย และคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเมือง เร่งสรุปผลการทำงานและเสนอรายงานผลการศึกษาต่อที่ประชุมคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ
คณะกรรมการฯ กำหนดให้คณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางสมานฉันท์ทางการเมืองของสังคมไทย เสนอรายงานต่อที่ประชุมวันที่ 26-28 พ.ค. และในวันที่ 2-4 มิ.ย.จะให้คณะอนุกรรมการปฎิรูปการเมืองเสนอรายงานต่อที่ประชุมเป็นลำดับต่อไป และปิดท้ายด้วยคณะอนุกรรมการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 20 มิ.ย.
"รายงานที่ทำมาจะไม่ใช่การขี่ม้าเลียบค่าย แต่ต้องมีการข้อเสนออย่างชัดเจนต่อที่ประชุมว่าควรมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง ทุกคณะอนุกรรมการต้องสรุปให้โดยต้องมีแนวทางข้อเสนอชัดเจนมาเอาพูดกันให้หมด" นายดิเรก กล่าว
นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะกรรมการสมานฉันท์ฯ ไม่เห็นด้วยกับการตัดมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญปี 50 ในกรณีการยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคทั้งมาตรา เพราะแนวคิดเรื่องการยุบพรรคมีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเป็นมาตราที่ถือว่าเป็นยาแรงใช้เพื่อป้องกันการซื้อเสียง
อย่างไรก็ตาม หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรานี้ ควรแก้ไขด้วยการคงการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไว้ แต่ให้เลือกเพิกถอนสิทธิเฉพาะหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แบบนี้ก็น่าจะใช้ได้
"ความจริงหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค เป็นคนกำหนดยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งและให้เงินไปใช้จ่ายในการเลือกตั้ง แล้วจะมาบอกว่าไม่รู้เห็นการดำเนินการของกรรมการบริหารพรรคที่ผิดนั้นอธิบายต่อสังคมได้ยาก และวันนี้พรรคการเมืองจำนวนมากปรับตัว เพราะมีการตั้งกรรมการบริหารพรรคในรูปแบบใหม่ กลายเป็นใครไม่รู้มาเป็นกรรมการบริหารพรรค ยกเว้นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค" นายสุรพล กล่าว