นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเสนอ 5 ทางออกให้รัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจทดแทนการกู้เงิน 4 แสนล้านบาท โดยให้ 1.รัฐบาลควรดำเนินการลดช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก (สเปรด) ให้ต่างกันเพียง 3-4% เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น 2.ทำให้ค่าเงินบาท่อนมาที่ 37-40 บาท/ดอลลาร์ เพราะหากค่าเงินบาทแข็ง จะเป็นผลดีเฉพาะนักลงทุนที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศเท่านั้น แต่การทำธุรกิจภายในประเทศจะเสียประโยชน์
3. ภาครัฐ ควรต้องลงทุนในโครงการที่เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ไม่ใช่เป็นการลงทุน เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋ากลุ่มเพื่อนฝูงหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 4. รัฐบาควรเร่งการส่งออกสินค้าเกษตรในตลาดมากขึ้น เพื่อเป็นรายได้หลักที่จะเข้าประเทศ ดังนั้นต้องใช้ความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย และ 5.ควรขยายการลงทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ
ด้านนายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ได้ต้องการขัดขวางการที่รัฐบาจะกู้เงินมาใช้ แต่เป็นห่วงว่าเงินกู้นั้นจะไม่ได้อยู่ในกระเป๋าของประเทศ แต่อยู่ในกระเป๋าของ ครม.เพราะทราบว่ามีการตั้งคณะบุคคลมาดูแลเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว และไม่สามารถใช้กฎหมายเข้าตรวจสอบได้หากเกิดการทุจริตเกิดขึ้น
"เงินก้อนนี้ทางกฎหมายไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ หากเกิดการทุจริตขึ้นเราทำได้อย่างมากก็เพียงแค่ไปฟ้อง แต่ไม่สามารถไปป้องกันหรือควบคุมการใช้จ่ายได้เลย ดังนั้นการออกพ.ร.ก.กู้เงิน ทางพรรคจึงขอตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม เพราะหากทำงบประมาณติดลบยิ่งเป็นการซ้ำเดิมเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่" นายประเกียรติ กล่าว
นายประเกียรติ มองว่า การที่รัฐบาลต้องการออก พ.ร.ก.เพื่อกู้เงิน 4 แสนล้านบาทแทนการออกเป็น พ.ร.บ.ตามปกติ เนื่องจากะพรรคประชาธิปัตย์กังวลว่าหากออกเป็น พ.ร.บ.ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะทำให้อำนาจการต่อรองตกไปอยู่ในมือของกลุ่มเพื่อนเนวินและพรรคภูมิใจไทยเพื่อแลกกับโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน โครงการระบายข้าวโพด-ข้าว ในสต็อกของรัฐบาล ที่จะทำให้พรรคภูมิใจไทยขยายฐานทางการเมืองในอนาคตได้อีกด้วย แต่การออกเป็นพ.ร.ก.นั้นอำนาจจะอยู่ที่ครม.และนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องสนใจเสียงในสภาฯของกลุ่มเพื่อนเนวิน