ชาวอิหร่านเริ่มทยอยออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างนายมาห์มูด อาห์มาดิเนจ๊าด ประธานาธิบดีคนปัจจุบันผู้ยึดมั่นในหลักการ กับคู่แข่งอีก 3 ราย ซึ่งสนับสนุนการปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหรัฐ
ทางการอิหร่านได้เปิดคูหาเลือกตั้งมากกว่า 45,000 แห่งทั่วประเทศเมื่อเวลา 8.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น (10.30 น.ตามเวลาประเทศไทย) ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยประจำจุดเลือกตั้งและตามท้องถนนในกรุงเตหะรานเพื่อป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น
รายงานระบุว่า มีชาวอิหร่านที่มีสิทธิออกเสียงประมาณ 46 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 70 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิเป็นจำนวนมากในช่วงเวลา 10 ชั่วโมงที่เปิดโหวต และคาดว่าจะมากกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2548 ที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้งรอบแรก 63% และรอบสอง 48%
ทั้งนี้ ตามกฎหมายของอิหร่านกำหนดเอาไว้ว่า ถ้าการเลือกตั้งรอบแรกนี้ ไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงมากกว่า 50% ก็จะเปิดโอกาสให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด 2 คนแรก เข้าไปชิงชัยกันต่อในการเลือกตั้งรอบ 2 ในอีก 1 สัปดาห์ถัดไป
การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ สหรัฐ อิสราเอล และหลายประเทศในยุโรป เนื่องจากผลการเลือกตั้งจะเป็นมติของมหาชนชาวอิหร่านที่มีต่อนายอาห์มาดิเนจ๊าด และอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของอิหร่านกับนานาประเทศ
โดยบรรยากาศการหาเสียงที่คึกคักผ่านการถ่ายทอดสดการโต้วาทีทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก ได้จุดกระแสตื่นตัวให้กลุ่มคนหนุ่มสาวออกมาใช้สิทธิ
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจความคิดเห็นชาวอิหร่านว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งที่สูสีนี้ ปรากฏว่าความคิดเห็นยังคงหลากหลาย โดยประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจ๊าดได้รับการสนับสนุนจากคนยากคนจนในเมืองและชนบท ขณะที่คู่แข่งอีก 3 ราย ได้แก่ มีร์ ฮอสเซน มูซาวี อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สมัครที่ยึดมั่นในนโยบายสายกลาง โมห์เซน เรไซ ผู้สมัครหัวอนุรักษ์ และมาห์ดิ คาร์รูบิ นักปฏิรูป เป็นที่ชื่นชอบหมู่ชนชั้นกลางและชาวเมืองที่มีการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการให้มีการผ่อนคลายกฎหมายอิสลามที่เคร่งครัดและการพัฒนาความสัมพันธ์กับนานาประเทศให้ดีกว่านี้