ประธานาธิบดีมาห์มุด อาห์มาดิเนจ๊าด ของอิหร่าน ได้ออกมาตีกันแรงกดดันจากภายนอก หลังจากที่เกิดการประท้วงผลการเลือกตั้งจนถึงขั้นจลาจลขึ้น โดยกลุ่มผู้ประท้วงเชื่อว่า นายอาห์มาดิเนจ๊าด โกงการเลือกตั้งประธานาธิบดี จนได้รับชัยชนะมาครองอีกสมัย ขณะที่อยาตอลเลาะห์ อาลี คาไมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้รับรองชัยชนะจากการเลือกตั้งดังกล่าวแล้ว
มีร์-ฮอสเซน มูซาวี ผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่าน ซึ่งมีคะแนนตามห่างมาเป็นอันดับ 2 ในศึกเลือกตั้ง ได้ประท้วงผลการเลือกตั้ง เนื่องจากเห็นว่ามีการใช้กลโกงอย่างชัดเจน และเรียกร้องให้มีการประกาศให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ แต่นักวิเคาะห์ก็มองว่า การออกมาเรียกร้องและการประท้วงดังกล่าวก็คงจะไม่สามารถสั่นคลอนบัลลังก์ของนายอาห์มาดีเนจ๊าดลงได้
ในแถลงการณ์ที่มีการเผยแพร่บนเว็บไซต์ นายมูซาวี อดีตนายกรัฐมนตรีอิหร่านซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการคาดหมายว่าอาจทำคะแนนสูสีกับนายอาห์มาดิเนจ๊าด ระบุว่า "ผมขอให้ทางการอิหร่านยุติกระบวนการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมก่อนที่จะสายเกินไป" พร้อมกับกล่าวว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง ชาวอิหร่านก็จะไม่ยอมรับในตัวประธานาธิบดี
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยของอิหร่านเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจ๊าดมีคะแนนนำทิ้งห่างผู้สมัครรายอื่นๆในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 10 ของประเทศ หลังจากที่มีการนับบัตรลงคะแนนเสร็จสิ้นไปแล้ว 38 ล้านใบ หรือคิดเป็น 98% โดยอาห์มาดิเนจ๊าดได้คะแนนโหวตไป 64.77% ส่วนนายมูซาวีได้ไป 32.25% ขณะที่คู่แข่งอีกสองราย ได้แก่ โมห์เซน เรไซ และ เมห์ดิ คาร์รูบิ อดีตประธานรัฐสภา ได้คะแนน 2.07% และ 0.88% ตามลำดับ
จีนีฟ อับโด นักวิเคราะห์เกี่ยวกับอิหร่านประจำเซ็นจูรี่ ฟาวเดชั่น กล่าวว่า การกลับมาอีกครั้งของนายอาห์มาดีเนจ๊าดถือเป็นอุปสรรคในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ต้องการจัดการเจรจาร่วมกัน ด้วยความหวังที่จะยุติท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันเป็นเวลานานถึง 30 ปี รวมทั้งการยุติโครงการนิวเคลียร์