นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เชื่อว่าน่าจะเป็นความเข้าใจผิดของนายสุทัศน์ เงินหมื่น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยกพื้นที่ภาคอีสานให้พรรคภูมิใจไทย(ภท.)ไปดูแล โดยยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดจะยกพื้นที่ให้ใคร
"ใครให้ไปดู ที่จริงท่าน(สุทัศน์)น่าจะเข้าใจดี เรื่องรัฐบาลก็ส่วนหนึ่ง เรื่องพรรคก็ส่วนหนึ่ง...พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการยกพื้นที่ให้พรรคการเมืองไหนแน่นอน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
พร้อมชี้แจงว่าการเลือกลงไปตรวจราชการในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเลือก จ.บุรีรัมย์ เป็นจังหวัดแรกนั้น สืบเนื่องมาจากการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ในฐานะ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอให้ลงพื้นที่นี้ เพราะมีโครงการของรัฐบาลที่พร้อมจะดำเนินการอยู่
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การลงพื้นที่ไม่ใช่การลงไปเพื่อสร้างภาพ แต่เป็นการลงไปทำงานให้กับประชาชน ภายหลังที่มีคนปรามาสไว้ว่าการลงพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์อาจจะไม่ได้ใจคนอีสาน แต่ทั้งนี้ทางพรรคหวังว่าจะมีโอกาสได้รับที่นั่ง ส.ส.ในภาคอีสานเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้ความเป็นจริงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
สำหรับกระแสข่าวที่ว่าจะมีการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ นายกรัฐมนตรี เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่แต่ละพรรคการเมืองจะต้องเตรียมตัวหาผู้สมัคร ส.ส.ลงพื้นที่ และยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในบางพื้นที่นั้นพรรคประชาธิปัตย์เตรียมความพร้อมของผู้สมัครช้าเกินไป
ส่วนกรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ออกมาระบุว่าพรรคร่วมรัฐบาลต้องทนทำงานร่วมกันไปเพื่อบริหารเงินกู้ 8 แสนล้านบาท และรองบประมาณปี 53 นั้น นายกรัฐมนตรี เห็นว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องทนหากไม่พอใจในแนวทางการทำงานของรัฐบาล
"ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ได้บังคับให้อยู่...คนเราไม่ควรทนทำงาน คนเราควรทำงานด้วยความสมัครใจ ถ้าไม่ทำตามแนวทางที่ถูกต้อง ถ้าเจ้าตัวไม่อยากทำ ก็ไม่ควรทำ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงมีความพยายามจะล่ารายชื่อประชาชน 1 ล้านคนเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า การดำเนินการดังกล่าวควรจะมาจากเจ้าตัวที่ออกมายอมรับความผิดและขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตัวเอง หรือเป็นการดำเนินการจากญาติ พร้อมมองว่าไม่ควรจะทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดึงสถาบันหลักของชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง