สถานการณ์ตึงเครียดในเมืองอุรุมชี ซึ่งเป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนยั คงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางชนวนเหตุจากประเด็นความขัดแย้งเรื่องชนกลุ่มน้อย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ที่ 156 ราย และมีรถยนต์ถูกเพลิงไหม้เสียหาย 30 คัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 3 ล้านหยวน (440,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
โดยเมื่อวานนี้กลุ่มชาวฮั่นได้ก่อเหตุปะทะกับชาวอุยกูร์โดยใช้กระบอง ไม้ และอาวุธเข้าประจันบาน ท่ามกลางการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนาย ส่งผลให้สถานการณ์ความรุนแรงในซินเจียงล่วงเลยเข้าสู่วันที่ 4 แล้ว
บลูมเบิร์กรายงานว่า สาเหตุของการปะทะกันครั้งนี้เริ่มต้นจากการชุมนุมประท้วงกรณีที่มีผู้อพยพซึ่งเป็นชาวอุยกูร์เสียชีวิตที่โรงงานในมณฑลกวางตุ้งเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ปะทะกันครั้งนี้นับเป็นครั้งรุนแรงที่สุดเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยในรอบหลายสิบปี และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของจีน (Cultural Revolution) เมื่อปี 2509-2519
ชาวอุยกูร์พลัดถิ่นรายหนึ่งกล่าวว่า "พวกเราไม่ได้รับสิทธิใดๆทางการเมือง ยิ่งกว่านั้นเราไม่เคยมีสถานภาพทางสังคมเช่นเดียวกับกลุ่มชาวฮั่นเลยด้วยซ้ำ"
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีนงดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดจี 8 ที่ประเทศอิตาลี
ด้านนักวิเคระห์จากเครดิต สวิส ไพรเวท แบงกิ้งในฮ่องกงกล่าวถึงผลกระทบของเหตุจราจลในซินเจียงที่มีต่อเศรษฐกิจว่า "สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในวงจำกัด หากเหตุการณ์ไม่บานปลายจนทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง"
ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่ระดับ 7.5% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับที่ขยายตัวได้ 9% ในปีที่ผ่านมา