บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยชี้กลุ่มหัวรุนแรงชาวมุสลิมอาจจะเลียนแบบวิธีการที่กลุ่มผู้วางระเบิดฆ่าตัวตายใช้ในการระเบิดโรงแรมเจดับบลิว แมริออท และริทซ์ คาร์ลตัน ในกรุงจาการ์ต้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้จากเว็บไซต์และห้องแชทที่กลุ่มหัวรุนแรงมักจะเข้ามาโพสต์ข้อความหรือพูดคุยกันเกี่ยวกับวิธีการที่มือวางระบาดใช้เพื่อเลี่ยงระบบรักษาความปลอดภัยในโรงแรมด้วยการเช็คอินเข้าพักก่อนที่จะลงมือจุดชนวนระเบิด
บริษัท สเตอร์ลิง แอสซินท์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงชาวมุสลิม ระบุในรายงานว่า ยุทธวิธีในการเข้ามาเช็คอินพักในโรงแรม เพื่อประกอบระเบิด เตรียมความพร้อมในชั้นสุดท้าย รวมถึงการสอดแนมเบื้องลึกนั้นถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงทีเดียว ทางด้านจัสติน ครัมพ์ หัวหน้าฝ่ายความเสี่ยงลัทธิก่อการร้ายและประเทศของบริษัท กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นและการพูดคุยในเว็บไซต์เกี่ยวกับวิธีการโจมตี และความแตกต่างจากการโจมตีครั้งก่อนๆนั้น บ่งชี้ให้เห็นว่า วิธีการดังกล่าวเป็นหนทางที่กลุ่มดังกล่าวให้ความสนใจเพื่อนำมาใช้คร่าชีวิตผู้คน
ทีมงานสืบสวนสอบสวนระบุว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุอาจจะพักอยู่ที่โรงแรงแมริออทในฐานะแขกคนหนึ่งของโรงแรม และผลิตระเบิดในห้องพักจากชิ้นส่วนที่บรรจุไว้ในกระเป๋าเดินทาง ทางการอินโดนีเซียสงสัยว่า มือระเบิดจะเกี่ยวพันกับนายนอร์ดิน โมฮัมหมัด ท็อป ชาวมาเลเซียและเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มก่อการร้ายเจมาห์ อิสลามิยาห์ ซึ่งตำรวจอินโดนีเซียต้องการตัวมาดำเนินคีดหลังก่อเหตุระเบิดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
บลูมเบิร์กรายงานว่า นายครัมพ์กล่าวต่อไปว่า การเข้าพักในโรงแรมในฐานะแขกที่มาพักกันเป็นคู่นั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลสำหรับการตบตา หากคุณเป็นผู้จัดการฝ่ายรักษาความปลอดภัยและจับตามือระเบิด คุณก็คงจะไม่เพ่งความสนใจไปที่แขกสามีภรรยาที่เข้ามาพักที่โรงแรมหรอก
ทั้งนี้ เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก และยังเป็นเหตุระเบิดครั้งแรกที่เกิดขึ้นหลังจากปี 2548 โดยอินโดนีเซียเผชิญกับเหตุการณ์วางระเบิดรายปี นับตั้งแต่ปี 2542 - 2548 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมแล้ว 280 ราย