นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวคณะอนุกรรมการตรวจสอบเงินบริจาคเข้าพรรค ปชป.จำนวน 258 ล้านบาท มีมติยกคำร้องด้วยคะแนน 3 ต่อ 2 เสียงว่า เรื่องนี้ยังไม่มีการยืนยัน คิดว่าเป็นขั้นตอนการสอบสวนในชั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งต้องรอข้อสรุปที่เป็นมติจาก กกต.ทั้ง 5 คนก่อน
"อยากเรียกร้องไปยังพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการเห็นพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ ด้วยความมีอคติ อยากให้คนเหล่านี้ให้ความเป็นธรรมกับพรรคด้วย ไม่อยากให้สร้างกระแส โจมตีพรรค และโจมตีใส่ร้าย กกต.ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่อยากให้ใช้ความเคลื่อนไหวเหมือนในอดีตที่พยายามโยงว่า ประชาธิปัตย์รอดคดียุบพรรคมาได้ เพราะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ กกต.หรือมีพลังแฝง ที่พรรคประชาธิปัตย์รอดมาได้เพราะข้อเท็จจริง ด้วยความถูกต้องที่พรรคยืนยันมาตลอด" นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวว่า พรรคเชื่อมั่นในข้อมูลที่มีอยู่ และเชื่อว่าความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น ขณะเดียวกันก็เชื่อในความยุติธรรมของ กกต.ที่จะให้ความเป็นธรรมกับพรรค แต่ไม่ว่าผลคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร พรรคเชื่อว่าเราทำดีที่สุดแล้วและพร้อมจะยอมรับผลดังกล่าว
ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า มติของคณะอนุกรรมการฯ ไม่มีผลผูกพันต่อการตัดสินใจ ของ กกต.ชุดใหญ่ทั้ง 5 คน โดยเห็นได้จากกรณีการวินิจฉัยคดีการถือครองหุ้นของกลุ่ม 16 ส.ว. ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นความพยายามกดดันการทำงานของ กกต.
และจากกรณีที่ข้อมูลคดีดังกล่าวรั่วไหลออกมา นางสดศรี กล่าวว่า ในช่วงต้นเดือนหน้าจะมีการสั่งทบทวนการทำงานของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยทุกชุดว่ามีการกระทำที่ถูกต้องตามระเบียบของ กกต. หรือไม่ หลังพบว่ามีการปล่อยให้ความลับของทางราชการรั่วไหลหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งหากพบว่ามีความผิดพลาดก็จะต้องมีเกิดความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งน่าจะถึงเวลาแล้วที่อาจต้องมีการเปลี่ยนอนุกรรมการแบบยกชุด เพราะถือว่าทำงานมาเป็นเวลานานถึง 3 ปี