รัฐสภาออสเตรเลียผ่านกฎหมายที่กำหนดให้พลังงานไฟฟ้า 20% ของทั้งหมดในประเทศต้องมาจากแหล่งพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ภายในปี 2563 หรือเพิ่มขึ้นจาก 8% ในปัจจุบัน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ยุโรปตั้งไว้เมื่อปี 2550
โดยเป้าหมายดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้โดยรัฐบาลชุดก่อนเมื่อปี 2544 และจะทำให้มีพลังงานสะอาดใช้ในครัวเรือนของชาวออสเตรเลียทั้งหมด 21 ล้านคน
ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ หลังจากที่รัฐบาลบรรลุข้อตกลงกับพรรคฝ่ายค้านเกี่ยวกับการเพิ่มความช่วยเหลือให้กับอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม วุฒิสมาชิกบ๊อบ บราวน์ ผู้นำพรรคออสเตรเลียน กรีนส์ ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในฝ่ายค้าน กล่าวว่า รัฐบาลควรตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนไว้ที่ 30% และเตือนว่ากฎหมายนี้จะทำให้ไฟฟ้ามีราคาแพงมากเกินไป เช่นเดียวกับนักวิจารณ์จำนวนมากที่คิดเช่นนี้
ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่บางส่วนเตือนว่ามาตรการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนก็มีความจำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เพนนี หว่อง รัฐมนตรีกระทรวงดูแลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กล่าวว่า แม้พลังงานไฟฟ้า 20% จะมาจากแหล่งพลังงานทดแทนในปี 2563 แต่อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนก็ยังมีแนวโน้มว่าจะสูงกว่าปี 2543 ถึง 20%
"หนทางเดียวที่จะทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนลดลงคือ การจำกัดปริมาณก๊าซคาร์บอนและการเก็บภาษีผู้ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน" หว่อง กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ววุฒิสภาเพิ่งปฏิเสธร่างกฎหมายที่กำหนดให้เก็บภาษีโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเริ่มตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป และต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ต่ำกว่าระดับปี 2543 อย่างน้อย 25% ภายในปี 2563 สำนักข่าวเอพีรายงาน