สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจจุดยืนทางการเมืองของสาธารณชนต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน หลังยกเลิกการประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคง ในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีจุดยืนอยู่ตรงกลางไม่อยู่ฝ่ายใด หรือคิดเป็นร้อยละ 57.1 อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลและไม่สนับสนุนรัฐบาล พบว่า กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลมีสัดส่วนมากกว่ากลุ่มที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล คือ ร้อยละ 25.6 และ ร้อยละ 17.3 ตามลำดับ
เมื่อจำแนกกลุ่มประชาชนที่ถูกศึกษาออกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ พบว่า ส่วนใหญ่ทั้งกลุ่มผู้ชายและผู้หญิงมีจุดยืนอยู่ตรงกลางไม่ขออยู่ฝ่ายใด ร้อยละ 52.6 และ ร้อยละ 61.7 ตามลำดับ แต่กลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิงที่สนับสนุนรัฐบาลมีสัดส่วนไม่ต่างกัน คือ เพศชาย ร้อยละ 26.1 เพศหญิง ร้อยละ 25.1 และพบว่ากลุ่มผู้ชายไม่สนับสนุนรัฐบาลสูงกว่ากลุ่มผู้หญิง คือ เพศชาย ร้อยละ 21.3 เพศหญิง ร้อยละ 13.2
เมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า ทุกช่วงอายุขออยู่ตรงกลางไม่อยู่ฝ่ายใด ขณะที่เกือบทุกช่วงอายุสนับสนุนรัฐบาลมากกว่าไม่สนับสนุนรัฐบาล ยกเว้นในกลุ่มช่วงอายุต่ำกว่า 20 ปี สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 17.4 และไม่สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 18.4 ซึ่งถือว่าไม่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา ซึ่งพบว่า ผู้ที่มีการศึกษาสูงก็จะมีสัดส่วนที่สนับสนุนรัฐบาลสูงกว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลทุกระดับการศึกษา
นอกจากนี้เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่าทุกกลุ่มอาชีพต่างขออยู่ตรงกลางไม่อยู่ฝ่ายใด แต่สัดส่วนสนับสนุนรัฐบาลมากกว่าไม่สนับสนุนรัฐบาล กลุ่มอาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 36.4 กลุ่มพ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ ร้อยละ 29.6 กลุ่มพนักงานเอกชน ร้อยละ 28.4 กลุ่มเกษตรกร รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป ร้อยละ 24.3 นักเรียน นักศึกษา ร้อยละ 20.9 และกลุ่มที่ว่างงานและไม่มีอาชีพ ร้อยละ 37.5 ยกเว้นกลุ่มอาชีพค้าขาย ร้อยละ 23.6 ไม่สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 21.7 สนับสนุนรัฐบาล และเมื่อจำแนกตามรายได้ พบว่า ทุกกลุ่มรายได้ส่วนใหญ่มีจุดยืนทางการเมืองที่ขออยู่ตรงกลางไม่อยู่ฝ่ายใด
ทั้งนี้ ผลวิจัยเชิงสำรวจภาคสนามดังกล่าว เป็นกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,016 ครัวเรือน ดำเนินการสำรวจในวันที่ 4 — 5 กันยายน 2552