นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คาดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาไม่เกิน 9 เดือนนับจากนี้จึงจะแล้วเสร็จ โดยแนวทางที่เห็นว่าควรจะดำเนินการ คือ สนับสนุนให้มีการทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เชื่อว่าแนวทางนี้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
"ผมยืนยันเหมือนเดิม ดีที่สุดคือให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ถ้าเป็นประชามติก็จะชัดเจนดี และจะทำให้ไม่มีข้อโต้แย้ง...เราต้องการหาทางออกในเรื่องนี้ ไม่น่ามีอะไรดีไปกว่าแนวทางนี้แล้ว เราถกเถียงในเรื่องนี้ ขัดแย้งในเรื่องนี้มา 2 ปีแล้ว ถ้าไม่มีจุดที่เราหาจุดจบได้ ก็จะถกเถียงไม่จบไม่สิ้น"นายกรัฐมนตรี ระบุ
สำหรับช่วงเวลาต่อจากนี้ จะมีการเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญในแต่ละประเด็นใช้เวลาราว 1-2 เดือน จากนั้นเป็นการจัดทำประชามติคาดใช้เวลาอีก 3 เดือน และการแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายลูกอีกราว 2 เดือน รวมใช้เวลาทั้งหมดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เกิน 9 เดือน
นายกรัฐมนตรี เห็นว่า การจัดทำประชามติควรเป็นการสอบถามความเห็นประชาชนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็นไปในคราวเดียว ส่วนที่จะต้องใช้งบประมาณการจัดทำประชามติสูงถึง 2,000 ล้านบาทนั้น มองว่าคุ้มค่า เพราะกระบวนการที่ผ่านมาก็ล่าช้ามากแล้ว
และเชื่อมั่นว่าจะสามารถหาจุดร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลได้ แม้ขณะนี้บางพรรคอาจยังมีความแตกต่าง เช่น พรรคภูมิใจไทย ที่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เฉพาะมาตรา 190 ในประเด็นการลงนามในข้อตกลงกับต่างประเทศ และมาตรา 93-98 ในประเด็นที่มาของ ส.ส. ซึ่งการหารือกับวิปฝ่ายต่างๆ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญคาดว่าจะหารือในช่วงการประชุมสภาในสัปดาห์นี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วก็ไม่ควรที่ฝ่ายไหนนำมาเป็นเงื่อนไขที่จะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก แต่ยอมรับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองหมดไปได้ แต่น่าจะมีส่วนช่วยให้ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายลงได้บ้าง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ตช.) ว่า คาดว่าจะเรียกประชุมหลังจากวันที่ 30 ก.ย.52