ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐได้ลงนามจัดตั้งคณะทำงานของรัฐบาลเพื่อต่อสู้และรับมือกับกรณีการฉ้อโกงทางการเงิน หลังจากที่เศรษฐกิจของประเทศตกอยู่ในภาวะถดถอยและทำให้อาชญากรรมทางเศรษฐกิจมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยผู้นำสหรัฐได้ลงนามในคำสั่งให้จัดคณะทำงานไปเมื่อวานนี้ ซึ่งคณะทำงานของรัฐชุดใหม่จะประสานงานกับหน่วยงานรัฐ และเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี
คณะทำงานดังกล่าวได้เข้ามาแทนที่คณะทำงานด้านการฉ้อโกงบริษัทเอกชนที่จัดตั้งขึ้นสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2545 โดยเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนตัวลงทำให้เกิดการฉ้อโกงมากขึ้น รวมถึงอาชญากรรมในกลุ่มแรงงาน และการฉ้อโกงเกี่ยวกับงบประมาณในการดูแลด้านสุขภาพ
บลูมเบิร์กรายงานว่า เอริค โฮลเดอร์ อัยการกล่าวว่า เป้าหมายของคณะทำงานชุดใหม่คือ การป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตขึ้นอีก เราจะสอบสวนบริษัทและการกระทำผิดใดๆที่เกิดขึ้น โดยคณะทำงานจะตามติดคดีอาชญกรรมทางด้านการจำนอง หลักทรัพย์ และการฉ้อโกงที่เกี่ยวกับกองทุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
คณะทำงานชุดใหม่นี้จะมีกระทรวงยุติธรรมเป็นแกนนำ โดยมีตัวแทนจากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงคลัง สำนักงานการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเมือง รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ
คณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดการไต่สวนและการเข้าแทรกแซงเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2551 โดยยอดสั่งปรับในกรณีที่มีการทำกำไรแบบผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับปีงบ 2550 ที่ 1.03 พันล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ ก็มีคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ของนายเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์ อดีตประธานกรรมการตลาดหุ้นนาสแดค ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 150 ปี ในข้อหาจัดตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในรูปแบบของ แชร์ลูกโซ่ (ponzi scheme) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งทั่วโลก อีกทั้งกองทุน นักลงทุนผู้มั่งคั่งและผู้มีชื่อเสียง สูญเงินไปกับการหลอกลวงในครั้งนี้จำนวนมาก โดยสถาบันการเงินและบริษัทรายใหญ่ที่ได้รับความเสียหายครั้งนี้ รวมถึง ธนาคาร HSBC, ธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ และโนมูระ โฮลดิ้งส์
ด้านนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวว่า การใช้กฎระเบียบในการดูแลที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็น รวมทั้งเรื่องการบังคับใช้ตามกฎหมายในเชิงรุก