นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย(พท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีวาระรับทราบกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่ง ส.ส.ของพรรคได้ทักท้วงเรื่องนี้ เพราะเห็นว่ารัฐบาลทำผิดกฎหมาย ซึ่งหากเสียงข้างมากในสภาฯ ลงมติให้พิจารณารับทราบกรอบการใช้เงินดังกล่าว ทางพรรคจะลงชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะเห็นว่ามีการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 เนื่องจากในช่วงแรกรัฐบาลได้เสนอกรอบการกู้เงินตาม พ.ร.ก.จำนวน 2 แสนล้านบาท เพื่อใช้ชดเชยเงินคงคลัง แต่ภายหลังมีการนำโครงการที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นโครงการตาม พ.ร.บ.กู้เงินฯ มาใช้เงินตาม พ.ร.ก.ซึ่งไม่สามารถทำได้
"รัฐบาลกำลังดำเนินการขัดกับคำแถลงที่ให้ไว้ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่ารัฐบาลจะนำเงิน 2 แสนล้านบาทไปปิดหีบงบประมาณ หากทำเช่นนี้ถือว่ารัฐบาลได้ให้การเป็นเท็จต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเข้าข่ายถูกถอดถอนตามรัฐธรรมนูญ" นายวรวัจน์ กล่าว
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรค พท. กล่าวว่า การเสนอกรอบการใช้เงินตาม พ.ร.ก.แม้รัฐบาลจะใช้เงินเพื่อชดเชยเงินคงคลังเพียง 5 หมื่นล้านบาท แต่หากจะใช้เงินในส่วนที่เหลือ รัฐบาลต้องเสนอกรอบการใช้จ่ายงบประมาณเข้าสภาใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่รายงานว่านำเงินส่วนนี้ไปใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า รัฐบาลได้แบ่งการใช้เม็ดเงินตาม พ.ร.ก.เป็น 2 ส่วน คือ จำนวน 2 แสนล้านบาท เพื่อใช้ชดเชยเงินคงคลัง และอีก 2 แสนล้านบาทนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ แต่จากการที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้า ทำให้กู้เงินเพื่อชดเชยเงินคลังเพียง 5 หมื่นล้านบาท ดังนั้นเงินส่วนที่เหลือจำนวน 1.5 แสนล้านบาท สามารถนำไปลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชนได้