อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะครบ 1 ปีแล้ว เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก เปิดฉากต้นปีเราก็ได้เห็นบรรยากาศการเมืองใหม่ในสหรัฐที่มาพร้อมกับ บารัค โอบามา เจ้าของแคมเปญ CHANGE ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฝั่งสหรัฐ ภายใต้มุมมองและวิธีการบริหารประเทศที่เปลี่ยนไปจากสมัยผู้นำคนก่อน ขณะที่สหรัฐมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้เห็น แต่การเมืองในบางภูมิภาคกลับย่ำอยู่กับที่ แถมบางประเทศแทบจะถอยหลังเข้าคลอง ปีวัวปีนี้ In Focus จึงขออาสาพาท่านย้อนรอยสถานการณ์การเมืองตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปลายปี เลาะรั้วการเมืองรอบโลกประจำปี 2552
บารัค โอบามา เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา และเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศ ณ บริเวณอาคารรัฐสภาสหรัฐ ท่ามกลางประชาชนผู้มาร่วมเป็นสักขีพยานกว่าล้านคน เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2552
บิล ชไนเดอร์ นักวิเคราะห์ข่าวการเมืองอาวุโสจากซีเอ็นเอ็น กล่าวถึงสุนทรพจน์ของ โอบามา ออกมาในโทนที่สงบและน่าเชื่อถือมากกว่าประธานาธิบดีคนใดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และอาจเป็นสุนทรพจน์ที่เรียกได้ว่า "ถูกที่ถูกเวลา" มากที่สุด แม้ว่า สุนทรพจน์ของโอบามาเร้าใจน้อยกว่าของประธานาธิบดีคนอื่นๆ แต่สุนทรพจน์ของโอบามาก็ดูจริงใจและติดดินกว่าคนอื่นเช่นกัน
"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราต้องลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่เกาะตามตัว และเริ่มทำงานเพื่อฟื้นฟูสหรัฐให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เรามารวมกัน ณ ที่นี้ เพราะเราเลือกที่จะมีความหวัง มิใช่ความกลัว ความสมัครสมานสามัคคีของเราอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง" โอบามากล่าว
ตั้งแต่วันที่สหรัฐมีผู้นำผิวสี การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆก็ปรากฎให้เห็นตามมา ไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่มีทั้งอดีตคู่แข่งคนสำคัญที่ลงสนามเลือกตั้งขับเคี่ยวกันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐที่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็มีสปิริตแรงกล้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐด้วยความเต็มใจ เพื่อที่จะผลักดันสหรัฐให้เดินหน้าด้วยทิศทางการทูตที่แตกต่างไปจากยุคบุกอิรัก ก่อการร้ายถล่ม ขณะที่ภารกิจการกอบกู้เศรษฐกิจจากวิกฤตที่ โอบามาก็ทำได้ดีแม้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วทันใจก็ตาม
คิม จอง อิล ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือพอฟื้นตัวจากอาการป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันเมื่อปีที่แล้ว ก็ไม่วายแสดงแสนยานุภาพของโสมแดงเพื่อเรียกร้องความสนใจและสร้างอำนาจต่อรองกับนานาประเทศ ด้วยการยิงจรวดพิสัยไกลผ่านญี่ปุ่นเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องของผู้นำทั่วโลกที่ต้องการให้ยกเลิกโครงการนำดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศอันเป็นเหตุให้นานาชาติตื่นตระหนก และส่งผลให้เกิดภาวะระส่ำระสายในบริเวณคาบสมุทรเกาหลี
นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังได้เร่งสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำ ด้วยการส่งภาพวิดีโอของนายคิม จอง อิล ตรวจเยี่ยมโรงงานและหน่วยงานด้านการทหารหลายแห่งตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม 2551 ซึ่งเกาหลีเหนือมักจะแพร่ภาพรายการในลักษณะดังกล่าวหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วนานหลายเดือนเพื่อทำให้ประชาชนวางใจในเรื่องสุขภาพของผู้นำประเทศ
การทดสอบนิวเคลียร์และการยิงขีปนาวุธถือเป็นไม้ตายของเกาหลีเหนือที่นำมาใช้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม้แก่จะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด การเดินทางเยือนเกาหลีเหนือแบบไม่คาดฝันของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ถือเป็นอีกปรากฎการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ไม้เบื่อไม้เมาอย่างสหรัฐและโสมแดงนั้นก็สามารถคุยกันได้ คิม จอง อิล ยอมปล่อย 2 ผู้สื่อข่าวสาวชาวอเมริกันที่ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 12 ปีด้วยข้อหาข้ามพรมแดนจากจีนมายังเกาหลีเหนืออย่างผิดกฎหมาย เพราะการลงทุนเยือนเกาหลีเหนือด้วยตัวเองของอดีตผู้นำสหรัฐตามคำเรียกร้องของโสมแดง
ผลพวงที่ตามมาอีกอย่างก็คือ สถานการณ์เกี่ยวกับการเจรจา 6 ฝ่ายว่าด้วยการยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือที่หยุดชะงักมานาน ล่าสุด นายสตีเฟ่น บอสเวิร์ธ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลสหรัฐเตรียมเดินทางเยือนเกาหลีเหนือด้วยตัวเองวันที่ 8 ธ.ค. แม้นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐจะยอมรับว่า การส่งผู้แทนพิเศษของสหรัฐไปยังเกาหลีเหนือครั้งนี้มิได้มีเป้าหมายที่จะเจรจา แต่เพื่อปูทางให้เกาหลีเหนือยอมหวนคืนสู่โต๊ะเจรจา 6 ฝ่ายโดยเร็ว เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้นับเป็นความคืบหน้าที่ดีสำหรับคู่ไม้เบื่อไม้เมาคู่นี้
ศาลพม่าตัดสินว่า นางออง ซาน ซูจี มีความผิดในข้อหาละเมิดข้อบังคับการกักบริเวณเมื่อวันที่ 11 ส.ค. โดยสั่งจำคุก 3 ปี ก่อนที่รัฐบาลได้ลดหย่อนโทษเป็นกักบริเวณ 18 เดือน โดยพลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าได้ออกคำสั่งพิเศษให้นางถูกกักบริเวณในบ้านแทนการจำคุก หลังจากที่จอห์น วิลเลียม เยตทอว์ ชายชาวอเมริกันวัย 53 ปี ที่แอบว่ายน้ำเข้าไปในบ้านพักของเธอเมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา
พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ได้สั่งการให้ลดโทษของนางซูจีลงกึ่งหนึ่งตั้งแต่ก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีแล้ว เพราะเห็นแก่ที่นางซูจีเป็นบุตรีของนายพล ออง ซาน ผู้เป็นวีรบุรุษของพม่า ตลอดจนเพื่อความสมานฉันท์ภายในชาติและกระบวนการประชาธิปไตย
คำตัดสินของศาลพม่ากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมโลก โดยหลายฝ่ายเชื่อว่ารัฐบาลทหารพม่าพยายามกักขังนางซูจีต่อไปเพื่อไม่ให้นางมีบทบาทโดยตรงในการเลือกตั้งทั่วประเทศในปีหน้า
อย่างไรก็ดี กรณีของดอกไม้เหล็กแห่งพม่าผู้นี้ยังต้องติดตามกันต่อไป เพราะรัฐบาลพม่ายังเปิดโอกาสให้ทูตต่างประเทศเข้าพบนางซูจี แม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดของการพูดคุยออกมา แต่มีการคาดการณ์กันว่า นางซูจี และออง ยี รัฐมนตรีของพม่าจะหารือในเรื่องข้อเสนอที่จะเข้าร่วมงานกับรัฐบาลทหารพม่าเพื่อหาทางยุติมาตรการคว่ำบาตรของนานาประเทศที่มีต่อพม่า หลังจากที่นางซูจีได้ส่งจดหมายถึงนายพลตันฉ่วย โดยมีใจความว่า เธอพร้อมที่จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้นานาประเทศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและมาตรการคว่ำบาตรอื่นๆกับพม่า
พรรคประชาธิปไตย (ดีพีเจ) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ภายใต้การนำของนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ ได้รับชัยชนะเหนือพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ของนายทาโร อาโสะ เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ปล่อยให้พรรคแอลดีพีนั่งแท่นในรัฐบาลมานาน คราวนี้ พรรคดีพีเจก็มีอาสทำหน้าที่รัฐบาลเสียที
สาเหตุที่พรรคแอลดีพีพ่ายการเลือกตั้งนั้นมาจากวิกฤตศรัทธา หลังจากที่นายอาโสะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอัตราว่างงานของญี่ปุ่นประจำเดือนพ.ค.ที่พุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี ท่ามกลางแนวโน้มตลาดแรงงานที่เริ่มทวีความตึงเครียด นอกจากภาระหน้าที่ที่หนักหนาสาหัสแล้ว พรรคแอลดีพีก็ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ความแตกแยกอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มต่อต้านและกลุ่มสนับสนุนนายอาโสะอีก รวมทั้งเรื่องความไม่พอใจในเรื่องไม่เหมาะสมในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ประชาชนหันไปหาทางเลือกใหม่
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองจากมหาวิทยาลัยนิฮอนในกรุงโตเกียวชี้ว่า ชัยชนะของพรรคดีพีเจนั้นถือเป็นการปฏิรูปทางการเมืองโดยไม่เสียเลือดเนื้อ และนับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองโดยประชาชนพร้อมใจกันเทคะแนนให้พรรคฝ่ายค้าน แต่พรรคดีพีเจก็มีภารกิจอันหนักหน่วงรออยู่ รวมถึงการทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า ฮาโตยามะก็ต้องรับมือกับงานช้างต่อไป เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นแม้ว่าจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยมาแล้ว แต่ก็ยังต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด และล่าสุดที่เงินเยนก็อยู่ในช่วงขาขึ้นมาโดยตลอดจนเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มส่งออกร้องโอดครวญ รัฐบาลจึงต้องออกโรงกดดันธนาคารกลางญี่ปุ่นให้งัดมาตรการคลี่คลายสถานการณ์ และท้ายที่สุดแบงค์ชาติญี่ปุ่นก็ต้องอัดฉีดงบเข้าระบบตามคำสั่งการของรัฐบาล
การเฉลิมฉลองวันชาติของจีน ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ประธาน เหมา เจ๋อตง ผู้นำการปฏิวัติ ได้ประกาศสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน" หรือประเทศจีนใหม่ที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์นั้น นับเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของพญามังกรอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่การเดินขบวนพาเหรดเพื่อประกาศถึงความยิ่งใหญ่และปลุกสำนึกแห่งความภาคภูมิใจของชนชาติจีน ไปจนถึงการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพ ด้วยการจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ 52 รายการ รวมถึงอาวุธนิวเคลียร์รุ่นใหม่ รถถัง และการบินอวดศักยภาพของเครื่องบินรบที่ผลิตขึ้นเองบนผืนแผ่นดินจีน
งานนี้เรียกได้ว่า ตีตราถึงความมั่งคั่งของพี่ใหญ่จีนในสายตาชาวโลก แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ของจีนเองก็ยังยอมรับว่า งานฉลองวันชาติครั้งนี้ช่วยตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของจีนในสายตานักลงทุนได้เป็นอย่างดี แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะเกิดสถานการณีที่ร้อนแรงภายในประเทศมาแล้วก็ตาม เช่นเหตุจลาจลในเขตปกครองตนเองซินเจียงอันเนื่องมาจากปัญหาชนกลุ่มน้อย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 156 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 800 คนเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
เปิดฉากกันไปแล้วกับการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกที่จัดโดยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่กรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก แม้ว่า การประชุมจะสิ้นสุดลงในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ แต่ผู้นำหลายประเทศโดยเฉพาะจีนและสหรัฐที่ถูกจับตาและนานาประเทศตั้งความหวังไว้ก็ได้ออกมาประกาศท่าทีก่อนการประชุมกันไปแล้ว
ล่าสุด สหรัฐก็ออกมาประกาศแล้วว่า ก๊าซเรือนกระจกเป็นภัยต่อสุขภาพของประชาชน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติและสหภาพยุโรปต่างออกมาแสดงความเห็นขานรับกับการประกาศท่าทีดังกล่าวที่เรียกได้ว่า สหรัฐให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้กับเค้าเหมือนกัน หลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนทำเหมือนกับว่า แกนกลางของโลกอยู่ที่แดนมะกัน อุตสาหกรรมของประเทศต้องอยู่รอด สิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไรไม่สนใจ
ส่วนจีนซึ่งกอดคอกันปล่อยก๊าซโลกร้อนเคียงคู่มากับสหรัฐ ถึง 40% ก็ประกาศในอีกเวทีก่อนหน้านี้ว่า จีนจะลดความแออัดหนาแน่นของโรงงานและโรงไฟฟ้าในประเทศลง แต่ไม่ได้มีการระบุถึงเรื่องจำนวนหรือตัวเลขเป้าหมายที่แน่นอนเมื่อคราวที่ ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีน ได้กล่าวในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่นิวยอร์กเมื่อเดือนก.ย.
เมื่อผู้นำออกมาเผยท่าทีกันแบบนี้ ผลการประชุมจะออกมาในทิศทางเดียวกันหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
อิรักยังคงต้องเผชิญกับเหตุระเบิดพลีชีพและระเบิดโจมตีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งของอิรักได้เริ่มเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาอิรัก ซึ่งจะมีขึ้นในต้นปีหน้า ดูเหมือนว่า ความสามารถในการรักษาความมั่นคงในอิรักจะเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่ายในช่วงที่การเลือกตั้งกำลังใกล้เข้ามา โดยเฉพาะเหตุระเบิดพลีชีพและการลอบวางระเบิดรถยนต์ถึง 4 จุดในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรักเมื่อวานนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 128 คน และบาดเจ็บอีก 77 คน
เมื่อเดือนส.ค. อิรักก็ต้องพบกับความสูญเสียมาแล้วกับการก่อเหตุวางระเบิดต่อเนื่องในกรุงแบกแดด ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 400 ราย เหตุระเบิดเกิดขึ้นในวันครบรอบ 6 ปีของการระเบิดสำนักงานใหญ่ของยูเอ็นประจำกรุงแบกแดด
ส่งท้ายปีก็ไม่ใช่เรื่องคนอื่นคนไกลที่ไหน กัมพูชา ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเรานี่เอง เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ข่าวรัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีฮุน เซนอย่างเป็นทางการก็กระหึ่มไปทั่วประเทศ
เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ แถลงการณ์ของกัมพูชายังระบุด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเดินทางเข้าออกและอาศัยอยู่ในกัมพูชาได้อย่างอิสระ โดยกัมพูชาจะไม่ส่งตัวอดีตนายกฯกลับมายังประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน และจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ยังมีข่าวคราวออกมาเป็นระยะๆ เหมือนกับอินโดนีเซียที่ต้องเผชิญกับเหตุแผ่นดินไหวอยู่เป็นเนืองๆ แต่เชื่อว่าคนไทยคงจะมีภูมิคุ้มกันและจับทางจากแรงสั่นสะเทือนจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงรายนี้กันได้พอสมควร เพราะไหวเป็นระลอกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
หลังจากที่ได้สะท้อนสถานการณ์ทางการเมืองที่มีทั้งที่ควรจะนำมาเป็นเยี่ยงอย่างและน่าประณามกันไปแล้ว In Focus ก็ขออวยพรให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และติดตามคอลัมน์นี้ต่อไปนานๆ