คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เตรียมเชิญนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยชี้แจงชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีถูกทางการกัมพูชาดำเนินคดีฐานเป็นภัยต่อความมั่นคงกรณีจารกรรมตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
"คณะกรรมาธิการฯ ต้องทราบข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยคณะกรรมาธิการฯ ต้องการเป็นตัวกลางในการให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวของนายศิวรักษ์" นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ฯ กล่าว
วันนี้ กมธ.การต่างประเทศ ได้เชิญนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ, นายคำรบ ปาลวัฒวิชัย เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ น.ส.มธุรสพจนา อิทธิรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล และตัวแทนกองทัพอากาศ เข้าชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว แต่นายกษิตและนายคำรบได้ส่งตัวแทนคือ นายอิศร ปกมนตรี เอกอัครราชฑูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ มาชี้แจงแทน
ประธาน กมธ.การต่างประเทศ กล่าวว่า หากนายศิวรักษ์ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม ทาง กมธ.ก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ส่วนกรณีที่ รมว.ต่างประเทศ ไม่ได้เดินทางมาชี้แจงนั้นเป็นเรื่องที่สมควรตำหนิ เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา ทั้งๆ ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับกระบวนการของรัฐสภามาโดยตลอด
"กรณีนี้ถือว่ารัฐมนตรีไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนการของรัฐสภา จึงสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะปรับเอาจุดอ่อนของรัฐบาลออกไป" นายต่อพงษ์ กล่าว
ประธาน กมธ.การต่างประเทศ ยืนยันว่าการเชิญตัวแทนของทุกฝ่ายมาในวันนี้ไม่ได้เป็นการรับลูกจากฝ่ายค้าน และไม่ได้จัดฉาก รวมทั้งเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการจัดฉากจากพรรคเพื่อไทย เนื่องจากพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นโดยมีความเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญคงไม่มีแม่คนใดที่ยอมเอาชีวิตของลูกมาเสี่ยง
ด้าน น.ส.มธุรสพจนา กล่าวว่า เรื่องนี้คงเป็นเพียงความพยายามเชื่อมโยงไปยังข้าราชการมากกว่า ทั้งนี้ขอยืนยันอีกครั้งว่าข้อมูลและแผนการบินเป็นข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่ข้อมูลลับ แต่เป็นข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้
สำหรับประเด็นการพิจารณาในวันนี้ นอกจากคดีของนายศิวรักษ์แล้ว ทาง กมธ.ยังขอให้ตัวแทนกองทัพอากาศชี้แจงถึงการเตรียมนำเครื่องบินขับไล่ เอฟ 16 ขึ้นบินสกัดกั้นเครื่องบินโดยสารของ พ.ต.ท.ทักษิณ หากใช้เส้นทางการบินผ่านน่านฟ้าประเทศไทยกลับไปยังดูไบ ซึ่ง กมธ.ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังโดยให้เห็นผลว่าเป็นข้อมูลลับ