รมว.ต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ชี้แจงไม่เคยทอดทิ้งกรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ถูกทางการกัมพูชาจับกุมและดำเนินคดี โดยไม่เคยมีการกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดฉากสร้างเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งปฏิเสธไม่เคยสั่งให้จารกรรมข้อมูลตามที่มีการกล่าวหา ส่วนต้นตอความขัดแย้งของทั้งสองประเทศมาจากท่าทีของผู้นำกัมพูชา
"ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่นายศิวรักษ์ฯ ถูกจับกุม ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศให้ความช่วยเหลือทางการกงสุลแก่นายศิวรักษ์ฯ รวมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ครอบครัวของนายศิวรักษ์ฯ อย่างดีที่สุดในทุกทางที่กระทำได้" นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ระบุ
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า นอกจากการให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลตามช่องทางปกติแล้ว กระทรวงการต่างประเทศได้พยายามเป็นพิเศษในการให้ความช่วยเหลือผ่านช่องทางอื่นๆ ทุกทางที่ทำได้ เช่น เชิญนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ และนายสุนัย ผาสุก องค์การ Human Rights Watch มาปรึกษาหารือเพื่อหาทางช่วยนายศิวรักษ์ในด้านอื่นๆ
"กระทรวงการต่างประเทศเคารพการตัดสินใจของนายศิวรักษ์ฯ และครอบครัวเช่นกัน เมื่อนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดาของนายศิวรักษ์ฯ ได้ตัดสินใจเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่จะประสานงานผ่านพรรคเพื่อไทยให้ช่วยเหลือบุตรชาย แทนกระทรวงการต่างประเทศก็ถือเป็นสิทธิของครอบครัวที่สามารถตัดสินใจเช่นนั้นได้ รวมทั้งการตัดสินใจของนางสิมารักษ์ฯ ในเวลาต่อมา ที่จะขอเปลี่ยนทนายความใหม่ และเปลี่ยนแนวทางการสู้คดีเป็นการไม่ยื่นขอประกันตัวและยอมรับคำตัดสินของศาลโดยไม่อุทธรณ์ด้วย กระทรวงการต่างประเทศได้เคารพการตัดสินใจดังกล่าว และได้แสดงความพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือนายศิวรักษ์ฯ ในทุกทางต่อไป" นายกษิต กล่าว
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ไม่เคยกล่าวหาว่านายศิวรักษ์และครอบครัวเป็นผู้จัดฉากสร้างเรื่องให้เกิดปัญหาขึ้น ที่ผ่านมาได้ยืนยันมาโดยตลอดว่าในฐานะที่นายศิวรักษ์เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ไปประสบความเดือดร้อนในต่างประเทศย่อมมีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือด้านการกงสุลและการคุ้มครองดูแลผลประโยชน์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐอย่างเต็มที่ และกระทรวงการต่างประเทศยืนยันที่จะทำงาน เพื่อดูแลช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศต่อไป
ส่วนความพยายามของบางฝ่ายที่จะกล่าวหาว่า มีการสั่งการจากกรุงเทพฯ ให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ดำเนินการจารกรรมโดยใช้นายศิวรักษ์เป็นเครื่องมือ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันว่า ไม่เคยสั่งการใดๆ ให้นายคำรบไปทำการจารกรรมในกัมพูชาหรือดำเนินการใดๆ ที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ทางการทูตทั้งสิ้น
"ต้นเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นฝ่ายเดินทางไปกัมพูชา โดยมีสถานะเป็นนักโทษหนีคดีและเป็นที่ต้องการตัวของกระบวนการยุติธรรมไทย การปฏิบัติการของนายคำรบเป็นการปฏิบัติราชการตามปกติเพื่อหาข้อมูล" นายกษิต กล่าว
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ในฐานะที่นายคำรบเป็นเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งดำเนินภารกิจตามกระบวนการเพื่อขอรับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนจากรัฐบาลกัมพูชา หลังถูกศาลยุติธรรมของไทยตัดสินพิพากษาโทษแล้ว เป็นการทำ หน้าที่ของกลไกของรัฐในต่างประเทศ ไม่แตกต่างจากการติดตามตัวนักโทษหนีคดีรายอื่นๆ และกระบวนการเกี่ยวกับผู้ร้ายข้ามแดนรายอื่นๆ และการเรียกร้องให้นายคำรบออกมาชี้แจงนั้นมิใช่แนวปฏิบัติของกระทรวงการต่างประเทศ
"ทั้งนายคำรบและนายศิวรักษ์ต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อที่ต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำไปใช้เป็นประเด็นทางการเมือง" นายกษิต กล่าว
รมว.ต่างประเทศ ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชานั้นยังคงเป็นปัญหาระหว่างประเทศทั้งสอง โดยมีต้นตอของปัญหามาจากการที่ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาเป็นฝ่ายที่เลือกดำเนินการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ต.ค.52 ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในประเทศไทย และต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
อีกทั้งก่อนหน้าวันที่ 21 ต.ค.52 อันเป็นวันที่ผู้นำพรรคฝายค้านของไทยเดินทางไปพบผู้นำรัฐบาลกัมพูชาถือได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองยังเป็นปกติ นายกรัฐมนตรีไทยก็เพิ่งไปเยือนกัมพูชาในฐานะแขกของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.52 และมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชาระดับรัฐมนตรีต่างประเทศสองฝ่ายไปเมื่อวันที่ 4-5 ส.ค.52
"เห็นได้ว่าความสัมพันธ์เพิ่งเข้าสู่สภาวะไม่ปกติ หลังจากวันที่ 21 ตุลาคมมานี้เอง ดังนั้นการแก้ไขปัญหาให้ได้ผลต้องแก้ที่ต้นเหตุ" นายกษิต กล่าว