ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)วันนี้มีมติเสียงข้างมากให้ส่งเรื่องกรณีการตรวจสอบเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์กลับไปที่นายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้พิจารณาว่ามีการกระทำความผิดตาม 2 ข้อกล่าวหาหรือไม่ หลังจากที่ได้เลื่อนการพิจารณาลงมติมาแล้ว 3 ครั้ง โดยหากนายทะเบียนฯ ซึ่งคือประธาน กกต.โดยตำแหน่งจะต้องส่งความเห็นกลับมาให้ที่ประชุม กกต.เพื่อลงมติอีกครั้ง
ขณะที่กกต.เสียงข้างน้อยได้ให้ความเห็นต่อข้อกล่าวหาทั้ง 2 ข้อแล้ว แต่ในที่สุดที่ประชุมก็ให้เป็นไปตามความเห็นของกรรมการเสียงข้างมากที่ให้ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง
ทั้งนี้ หากประธาน กกต.เห็นว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหาก็สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง เสนอให้ กกต.มีมติส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคภายใน 30 วัน แต่ถ้าเห็นว่าไม่ผิดตามข้อกล่าวหาก็จะเสนอกลับมาให้ กกต.ลงมติยกคำร้อง
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวในการแถลงข่าวว่า ข้อกล่าวหา 2 ข้อ ประกอบด้วย กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคจาก บมจ.ทีพีไอ โพลีน(TPIPL)ผ่าน บริษัท เมซไซอะ แอนด์ ครีเอขั่น จำกัด จำนวน 258 ล้านบาท โดยว่าจ้างให้ทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่เป็นนิติกรรมอำพราง เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานการบริจาคเงินเข้าพรรคการเมือง ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 66 และ มาตรา 94
และข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้เงินสนับสนุนจาก กกต.ให้เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามความเป็นจริง เพื่อมายื่นต่อ กกต. ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 62, มาตรา 65, มาตรา 82 และ มาตรา 93 ส่วนกรณีที่กฎหมายไม่ได้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาสำหรับการพิจารณาให้แก่นายทะเบียนพรรคการเมืองนั้น เลขาธิการ กกต.เชื่อว่า ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะไม่ยื้อเวลา และน่าจะรีบพิจารณาให้ความเห็นโดยเร็ว