โฆษกเพื่อไทยยันมติ กกต.โยนให้นายทะเบียนฯชี้ขาดคดีเงินบริจาคขัดกฎหมาย

ข่าวการเมือง Friday December 18, 2009 14:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) เปิดเผยว่า กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติในคดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) โดยให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้ชี้ขาดว่าจะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ปชป.หรือไม่นั้นเป็นมติที่น่าจะขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากเป็นองค์กรกลุ่ม การวินิจฉัยเรื่องใดๆ ต้องทำในรูปของคณะกรรมการ แม้ตามกฎหมายประธาน กกต.จะมีฐานะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง และเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2550 ก็ตาม

แต่เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของ กกต.แล้วจะเห็นว่าตามมาตรา 10(10) ให้อำนาจ กกต.ในการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหา หรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย และตามมาตรา 95 ของกฎหมายพรรคการเมือง การจะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองหรือไม่นั้น กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า ให้นายทะเบียน โดยความเห็นชอบของ กกต. แจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน แสดงว่า การพิจารณาว่าจะส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดหรือไม่นั้นจะต้องมีมติ กกต.เท่านั้น จะให้เป็นความรับผิดชอบหรือเป็นดุลพินิจของประธาน กกต.เพียงคนเดียวไม่ได้ ถือว่าขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ การที่ประธาน กกต.ระบุว่า จะยืนตามมติของอนุกรรมการไต่สวนให้ยกคำร้องนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการยกคำร้องหรือส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดดำเนินการต่อไปนั้นต้องพิจารณาและมีมติในรูปคณะกรรมการเท่านั้น และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายอภิชาติมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน แกนนำพรรค ปชป. ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนมาด้วยกัน แสดงถึงความไม่เป็นกลาง ที่จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพียงลำพัง และหาก กกต.ยังคงเดินหน้าดำเนินการไปตามความเห็นของ ประธาน กกต.ต่อไป คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค พท.จะดำเนินการขอให้ ส.ส.เข้าชื่อถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับ กกต.ต่อไป

โฆษก พรรค พท. กล่าวอีกว่า ตามที่พรรคได้ยื่นคำร้องขอถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่นายอภิสิทธิ์ได้ขอให้บริษัทเอกชน 3 รายที่ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งข้อความสั้นของตนเองไปยังประชาชนทั่วประเทศนั้น ซึ่งขณะนี้เวลาได้ผ่านมานานแล้ว การพิจารณาของ ป.ป.ช. ก็ยังไม่มีผลวินิจฉัยออกมา ด้วยเหตุนี้ในวันที่ 21 ธ.ค.52 ตนเองจะไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้เร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ซึ่งรวมไปถึงคดีองค์การปฎิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.) ที่มีมูลค่าเสียหายหลายแสนล้านบาท และคดียางพาราของนายจุลินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ ที่ใกล้จะขาดอายุความแล้วด้วย เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาและมีมติอย่างตรงไปตรงมา ไม่มี 2 มาตรฐาน และไม่เลือกปฏิบัติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ