นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุรัฐบาลพร้อมที่จะยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ หากฝ่ายค้านตัดสินใจกลับมาร่วมกันพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ตามเดิม และรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปี 53 ให้ฟื้นตัวขึ้นได้แน่นอน ตลอดจนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ยุติการชุมนุมที่จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น
"เรื่องยุบสภาไม่มีปัญหา ถ้าสามารถทำให้เศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้าฝ่ายค้านมาร่วมเมื่อไหร่ ผมว่าคงใช้เวลาไม่เกิน 6-7 เดือน ซึ่งช่วงนี้ถ้าคุณทักษิณและเสื้อแดงแสดงให้เห็นว่าไม่ใช้ความรุนแรงขัดขวาง ผมก็ยินดี ไม่มีปัญหา" นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงข้อเรียกร้องของหลายฝ่ายให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่
นายกรัฐมนตรี ยังคงยืนยันว่าจะมีการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ต่อเมื่อยอมกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทยก่อน และในฐานะที่รัฐบาลเป็นผู้ดูแลบ้านเมืองก็ไม่กังวลกรณีที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกมาระบุว่า หากรัฐบาลไม่เดินหน้าแก้ไขปัญหาอาจนำไปสู่จุดแตกหักในบ้านเมือง เพราะถ้าเกรงกลัวกับเรื่องดังกล่าวคงไม่สามารถทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช.เตรียมออกมาเปิดเผยเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศเพิ่มเติมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมที่จะชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่อยากให้ประชาชนเล็งเห็นถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ขณะที่รัฐบาลเองต้องใช้ความอดทนอดกลั่นในการแก้ไขปัญหาต่อไป ส่วนผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมามีบางเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
"ผมคงไม่ให้คะแนนตัวเอง ผมมีหน้าที่บอกว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ผมได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ บางเรื่องก็พอใจ บางเรื่องก็ต้องปรับปรุง บางเรื่องก็ต้องทบทวน ถือเป็นเรื่องธรรมดา" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงื่อนไขในการเจรจาของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นข้อเสนอที่ไร้เหตุผล ส่วนการยุบสภาว่ามีความเป็นไปได้ แต่ทุกกลุ่มที่เคลื่อนไหวนอกกฎหมายต้องยุติ และหากต้องการนำรัฐธรรมนูญปี 40 กลับมาใช้ต้องเข้าร่วมกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมติของคณะกรรมการสมานฉันท์
"พอจะคาดเดาได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำเนินการทั้งในและนอกกฎหมาย โดยมีเป้าหมายล้มรัฐบาลและเปลี่ยนแปลงการปกครอง" นายสุเทพ กล่าว
ส่วนการเปิดเผยเอกสารลับของนายจตุพรนั้นเป็นเพียงการปลุกกระแส เพราะไม่รู้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ และรู้สึกเสียดายที่นายจตุพรนำเรื่องของประเทศชาติมาเปิดเผยให้ฝ่ายตรงข้ามได้ประโยชน์