นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า ประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่นำไปสู่ความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลจนนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง หรือ กลายเป็นระเบิดเวลาของรัฐบาล แม้ว่าจะเกิดความไม่พอใจจากพรรคร่วมรัฐบาลเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ล่าช้า
"ผมมีความมั่นใจ แนวทางที่จะพูดคุยเป็นแนวทางที่มีเสถียรภาพมากที่สุด เราต้องเก็บเกี่ยวบทเรียนจากปี 51 ว่าถ้าไปหยิบประเด็นละเอียดอ่อนและมีความขัดแย้งสูงทางการเมือง และคิดว่าผลักดันกันไปได้โดยเพียงแต่ว่ามีเสียงในสภาฯ สุดท้ายบ้านเมืองก็เดินไม่ได้ และไม่มีประโยชน์อะไร" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี มองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังมีเวลาพอที่จะหารือกันได้ และเรื่องนี้คงไม่มีใครสามารถบีบบังคับใครได้ แต่ก็เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองต้องการเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า อีกทั้งเจตนารมย์ของทุกพรรคตรงกัน ซึ่งคาดว่าหลังปีใหม่มีความเป็นไปได้ที่จะนัดหารือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาล
ส่วนข่าวที่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลออกมาขู่ว่าหากรัฐบาลไม่เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ใน 2 ประเด็น คือ การลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศ(มาตรา 190) และการแบ่งเขตเลือกตั้งส.ส.(มาตรา 93-98) ตามข้อตกลงของพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะหันไปสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 40 หากมีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้หารือกับนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.)แล้ว และเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการผลักดันม้งลาวกลับสู่ประเทศว่า ได้รับรายงานในช่วงเช้านี้ว่ามีการผลักดันม้งลาวกลับไปยังภูมิลำเนาเดิมเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีปัญหาขัดข้องแต่อย่างใด และทางฝั่งลาวยินดีรับกลับไปทั้งหมด เหลือเพียงม้งลาวที่ จ.หนองคาย อีกประมาณ 100 กว่าคน ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะ ซึ่งขณะนี้ UNHCR กำลังเข้าไปตรวจสอบ ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ ประสงค์จะรับม้งลาวเข้าประเทศนั้น ก็สามารถติดต่อไปยังประเทศลาวได้โดยตรง